จะทำอย่างไรเมื่อไอ้ตัวเล็กของเราเข้าสู่วัยรัก ?
เมื่อลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปรับตัวเรื่องความสนใจให้เข้ากับลูกเป็นธรรมดา เพื่อเป็นเพื่อนลูก และเมื่อเป็นเพื่อนลูกก็จะเข้าใจโลกของลูก เข้าใจโลกของวัยรุ่นยุคปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งย่อมจะแตกต่างจากยุคสมัยที่เราเป็นวัยรุ่นมาอย่างแน่นอน
ฉะนั้น วิธีคิดที่ว่าพ่อแม่ก็เลี้ยงเรามาแบบนี้ได้ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้ถึงเป็นแบบนี้ ขอให้ทบทวนใหม่เถอะค่ะว่ายุคสมัยเปลี่ยน การปรับเปลี่ยนวิธีคิดมีความจำเป็นมาก เพราะจะทำให้เรารู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และเข้าใจลูกของเราได้ดีขึ้น
ลูกชายดิฉันก็เช่นกัน เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัว แต่เราก็ยังสามารถสื่อสารกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพูดคุยกันมาทุกเรื่องตั้งแต่เขายังเล็ก การพยายามสื่อสารให้เขาได้เห็นว่าพ่อแม่พร้อมปรับตัวเพื่อให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น ด้วยท่าทีที่ยอมปรับตัวเองก่อน เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ว่าเขาเองก็ต้องปรับตัวทำความเข้าใจพ่อแม่ด้วยเช่นกัน
ก็ทำไมเราจะทำไม่ได้เล่า ก็พ่อแม่ทุกคนล้วนแล้วเคยผ่านความเป็นวัยรุ่นมาก่อน พวกเรารู้ดีว่าช่วงเวลานั้น เราเป็นอย่างไร เราอยากรู้อยากลอง อยากทำอะไรตั้งมากมาย หรือบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอเราผ่านจุดนั้นมา ก็น่าจะถือโอกาสนี้ในการทำความเข้าใจลูกของเราได้มากขึ้น เพราะได้ผ่านประสบการณ์ตรงมาแล้ว
ลูกดิฉันเองก็อยู่ในช่วงวัยสนใจเพศตรงข้าม และมีเพศตรงข้ามเข้ามาสนใจเช่นกัน ซึ่งเขาก็เล่าให้ฟังเป็นเรื่องปกติ ความหมายของคำว่าแฟนของเขาอาจจะแตกต่างในยุคสมัยเรา เพราะยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยสังคมแดกด่วน (ฟาสต์ฟู้ด) การเป็นแฟนกันในยุคนี้ก็ “ฟาสต์ฟูด” ไปด้วย และเป็นระดับซูปเปอร์ฟาสต์ฟู้ดประเภทที่คนเป็นพ่อแม่อาจงงว่าอย่างนี้เรียกว่าแฟนด้วยหรือ
ประเด็นก็คืออย่ามองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ หรือมองว่าลูกของเรายังอ่อนต่อโลก หรือ ฯลฯ อย่าห้ามปราม อย่าใช้ท่าทีสั่งสอนแบบคุณพ่อรู้ดีคุณแม่รู้ดี แต่ถือโอกาสขอให้ลูกของเราได้เรียนรู้ชีวิต ให้เขาได้เรียนรู้เรื่องความรักในแบบของเขา ในแบบยุคสมัยของเขา โดยมีเราอยู่ร่วมสมัยกับเขาด้วย ให้เราได้เป็นพ่อแม่ที่ลูกอยากเข้ามาคุยด้วย ไม่ว่าจะสบายใจหรือไม่สบายใจ และคอยชี้แนะให้เมื่อจำเป็น เพราะชีวิตเป็นของเขา
การให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองคือสิ่งสำคัญ !
อย่าไปส่งมอบประสบการณ์ในวัยรุ่นของเราให้กับเขาอย่างอาหารกระป๋อง เพราะยุคสมัยแตกต่างกัน สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน วิธีคิดของพ่อแม่ในวันนั้นย่อมไม่เหมือนกับลูกในวันนี้
พ่อแม่อย่าได้กังวลเรื่อง “รัก ๆ” ของลูกเลย เพราะในยุคสมัยเรา ก็มีผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง มันจะกลายเป็นประสบการณ์และความทรงจำ
แต่สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก็คือ มีส่วนต่อการทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่อง “รัก” อย่างมีคุณค่า หรือให้เขาได้เรียนรู้จัก “รัก” ให้เป็น มันจึงจะทำให้เขาเรียนรู้ชีวิต และมีความทรงจำที่ดีเรื่องรัก
4 วิธีสอนลูก “รัก” ให้เป็น
หนึ่ง รักตัวเองให้เป็นก่อน
เรื่องสำคัญที่ต้องย้ำกับลูกก่อนว่าถ้ารักตัวเองไม่เป็น ก็จะไม่สามารถรักคนอื่นเป็นเช่นกัน คำว่ารักตัวเองไม่ได้หมายความว่านึกถึงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รักดี ใฝ่ดี มีความตั้งใจในการทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่น
สอง เข้าใจเรื่องความรัก
ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าความรักของหนุ่มสาวมีทั้งสมหวังและผิดหวัง ให้ทำความเข้าใจว่าเขาต้องเจอะเจอแน่ มันเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าประสบแล้วก็ต้องหาทางรับมือกับทั้งความสมหวังและผิดหวังให้ได้ เมื่อสมหวังก็อย่าลิงโลดจนเกินไป หรือผิดหวังก็อย่าเสียใจจนเกินเหตุ ซึ่งข้อนี้ถ้าผ่านด่านการรักตัวเองให้เป็น ก็จะสามารถรับมือได้ดี และผ่านมันไปได้ด้วยความเข้าใจ
สาม เรียนรู้ประสบการณ์
อาจจะเป็นประสบการณ์ของพ่อแม่ก็ได้ คุณอาจจะเล่าเรื่องราวชีวิตรักของคุณในช่วงวัยรุ่นให้ลูกฟังก็ได้ หรือจากข่าวทั้งด้านลบและด้านดีให้ลูกได้สัมผัสทั้งสองด้าน รวมถึงการพูดคุยให้ลูกได้เห็นว่าการกระทำของเราในวันนี้ส่งผลถึงอนาคตของเราทั้งชีวิตได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง ของหนุ่มสาวที่พลาดพลั้งจนกระทั่งฝ่ายหญิงเกิดตั้งครรภ์ในวัยเรียน อาจถือโอกาสพูดคุยกับลูกว่ารู้สึกอย่างไรกับข่าวนี้ และถ้าเกิดกับลูกจะทำอย่างไร ปัญหาที่เกิดขึ้นของคนสองคน แต่มันส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นอย่างไร และเราจะจัดการปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อให้เขาได้เห็นภาพว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องมีความยับยั้งชั่งใจ และเมื่อสบโอกาสที่อาจจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้นึกถึงอนาคตหรือสิ่งที่จะตามมา ก็จะหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่แรกได้
สี่ พลานุภาพของความรัก
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทุกคนล้วนแล้วอยากมีความรัก อยากมีคนที่เรารักและรักเรา แต่ก็ควรให้ลูกได้เห็นด้านลบของความรักด้วยว่าถ้ารักไม่เป็น มันจะทำร้ายทำลายล้างคนเราได้ขนาดไหน ยกตัวอย่าง รักที่ต้องการครอบครอง ต้องการเป็นเจ้าของ และเมื่อมีเหตุที่ต้องแยกจากกันก็ถึงขั้นทำร้ายคนที่เรารัก หรือทำร้ายตัวเอง ถ้าความรักประเภทนี้ไม่ควรเรียกว่าความรัก แต่เป็นความร้าย เป็นรักร้าย ต้องให้ลูกระมัดระวังเวลาจะรักใครต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ในการเลือกแฟนหรือคู่ชีวิตด้วย
เวลาพ่อแม่พูดถึงเรื่องความรักกับลูกอย่ามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระเด็ดขาด หรืออย่าเอาแต่ห้ามปรามอย่างเดียว แต่ควรจะถือโอกาสในการพูดคุยทัศนคติเรื่องความรักไปเลย และอย่าพูดถึงความรักในมิติเดียวหรือเฉพาะเรื่องหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ควรให้ลูกได้เรียนรู้และคำนึงถึงความรักในมิติอื่นๆ ด้วย รักพ่อแม่ รักญาติพี่น้อง รักผู้อื่น รักเพื่อนมนุษย์ รักสัตว์เลี้ยง รักคนที่ขาดโอกาสหรือด้อยโอกาสกว่า เพื่อให้เขาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
และเรียนรู้จักรักอย่างมีคุณค่าค่ะ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
เมื่อลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปรับตัวเรื่องความสนใจให้เข้ากับลูกเป็นธรรมดา เพื่อเป็นเพื่อนลูก และเมื่อเป็นเพื่อนลูกก็จะเข้าใจโลกของลูก เข้าใจโลกของวัยรุ่นยุคปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งย่อมจะแตกต่างจากยุคสมัยที่เราเป็นวัยรุ่นมาอย่างแน่นอน
ฉะนั้น วิธีคิดที่ว่าพ่อแม่ก็เลี้ยงเรามาแบบนี้ได้ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้ถึงเป็นแบบนี้ ขอให้ทบทวนใหม่เถอะค่ะว่ายุคสมัยเปลี่ยน การปรับเปลี่ยนวิธีคิดมีความจำเป็นมาก เพราะจะทำให้เรารู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และเข้าใจลูกของเราได้ดีขึ้น
ลูกชายดิฉันก็เช่นกัน เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัว แต่เราก็ยังสามารถสื่อสารกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพูดคุยกันมาทุกเรื่องตั้งแต่เขายังเล็ก การพยายามสื่อสารให้เขาได้เห็นว่าพ่อแม่พร้อมปรับตัวเพื่อให้เข้าใจพวกเขามากขึ้น ด้วยท่าทีที่ยอมปรับตัวเองก่อน เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ว่าเขาเองก็ต้องปรับตัวทำความเข้าใจพ่อแม่ด้วยเช่นกัน
ก็ทำไมเราจะทำไม่ได้เล่า ก็พ่อแม่ทุกคนล้วนแล้วเคยผ่านความเป็นวัยรุ่นมาก่อน พวกเรารู้ดีว่าช่วงเวลานั้น เราเป็นอย่างไร เราอยากรู้อยากลอง อยากทำอะไรตั้งมากมาย หรือบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอเราผ่านจุดนั้นมา ก็น่าจะถือโอกาสนี้ในการทำความเข้าใจลูกของเราได้มากขึ้น เพราะได้ผ่านประสบการณ์ตรงมาแล้ว
ลูกดิฉันเองก็อยู่ในช่วงวัยสนใจเพศตรงข้าม และมีเพศตรงข้ามเข้ามาสนใจเช่นกัน ซึ่งเขาก็เล่าให้ฟังเป็นเรื่องปกติ ความหมายของคำว่าแฟนของเขาอาจจะแตกต่างในยุคสมัยเรา เพราะยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยสังคมแดกด่วน (ฟาสต์ฟู้ด) การเป็นแฟนกันในยุคนี้ก็ “ฟาสต์ฟูด” ไปด้วย และเป็นระดับซูปเปอร์ฟาสต์ฟู้ดประเภทที่คนเป็นพ่อแม่อาจงงว่าอย่างนี้เรียกว่าแฟนด้วยหรือ
ประเด็นก็คืออย่ามองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ หรือมองว่าลูกของเรายังอ่อนต่อโลก หรือ ฯลฯ อย่าห้ามปราม อย่าใช้ท่าทีสั่งสอนแบบคุณพ่อรู้ดีคุณแม่รู้ดี แต่ถือโอกาสขอให้ลูกของเราได้เรียนรู้ชีวิต ให้เขาได้เรียนรู้เรื่องความรักในแบบของเขา ในแบบยุคสมัยของเขา โดยมีเราอยู่ร่วมสมัยกับเขาด้วย ให้เราได้เป็นพ่อแม่ที่ลูกอยากเข้ามาคุยด้วย ไม่ว่าจะสบายใจหรือไม่สบายใจ และคอยชี้แนะให้เมื่อจำเป็น เพราะชีวิตเป็นของเขา
การให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองคือสิ่งสำคัญ !
อย่าไปส่งมอบประสบการณ์ในวัยรุ่นของเราให้กับเขาอย่างอาหารกระป๋อง เพราะยุคสมัยแตกต่างกัน สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน วิธีคิดของพ่อแม่ในวันนั้นย่อมไม่เหมือนกับลูกในวันนี้
พ่อแม่อย่าได้กังวลเรื่อง “รัก ๆ” ของลูกเลย เพราะในยุคสมัยเรา ก็มีผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง มันจะกลายเป็นประสบการณ์และความทรงจำ
แต่สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก็คือ มีส่วนต่อการทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่อง “รัก” อย่างมีคุณค่า หรือให้เขาได้เรียนรู้จัก “รัก” ให้เป็น มันจึงจะทำให้เขาเรียนรู้ชีวิต และมีความทรงจำที่ดีเรื่องรัก
4 วิธีสอนลูก “รัก” ให้เป็น
หนึ่ง รักตัวเองให้เป็นก่อน
เรื่องสำคัญที่ต้องย้ำกับลูกก่อนว่าถ้ารักตัวเองไม่เป็น ก็จะไม่สามารถรักคนอื่นเป็นเช่นกัน คำว่ารักตัวเองไม่ได้หมายความว่านึกถึงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รักดี ใฝ่ดี มีความตั้งใจในการทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่น
สอง เข้าใจเรื่องความรัก
ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าความรักของหนุ่มสาวมีทั้งสมหวังและผิดหวัง ให้ทำความเข้าใจว่าเขาต้องเจอะเจอแน่ มันเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าประสบแล้วก็ต้องหาทางรับมือกับทั้งความสมหวังและผิดหวังให้ได้ เมื่อสมหวังก็อย่าลิงโลดจนเกินไป หรือผิดหวังก็อย่าเสียใจจนเกินเหตุ ซึ่งข้อนี้ถ้าผ่านด่านการรักตัวเองให้เป็น ก็จะสามารถรับมือได้ดี และผ่านมันไปได้ด้วยความเข้าใจ
สาม เรียนรู้ประสบการณ์
อาจจะเป็นประสบการณ์ของพ่อแม่ก็ได้ คุณอาจจะเล่าเรื่องราวชีวิตรักของคุณในช่วงวัยรุ่นให้ลูกฟังก็ได้ หรือจากข่าวทั้งด้านลบและด้านดีให้ลูกได้สัมผัสทั้งสองด้าน รวมถึงการพูดคุยให้ลูกได้เห็นว่าการกระทำของเราในวันนี้ส่งผลถึงอนาคตของเราทั้งชีวิตได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง ของหนุ่มสาวที่พลาดพลั้งจนกระทั่งฝ่ายหญิงเกิดตั้งครรภ์ในวัยเรียน อาจถือโอกาสพูดคุยกับลูกว่ารู้สึกอย่างไรกับข่าวนี้ และถ้าเกิดกับลูกจะทำอย่างไร ปัญหาที่เกิดขึ้นของคนสองคน แต่มันส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นอย่างไร และเราจะจัดการปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อให้เขาได้เห็นภาพว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องมีความยับยั้งชั่งใจ และเมื่อสบโอกาสที่อาจจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้นึกถึงอนาคตหรือสิ่งที่จะตามมา ก็จะหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่แรกได้
สี่ พลานุภาพของความรัก
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทุกคนล้วนแล้วอยากมีความรัก อยากมีคนที่เรารักและรักเรา แต่ก็ควรให้ลูกได้เห็นด้านลบของความรักด้วยว่าถ้ารักไม่เป็น มันจะทำร้ายทำลายล้างคนเราได้ขนาดไหน ยกตัวอย่าง รักที่ต้องการครอบครอง ต้องการเป็นเจ้าของ และเมื่อมีเหตุที่ต้องแยกจากกันก็ถึงขั้นทำร้ายคนที่เรารัก หรือทำร้ายตัวเอง ถ้าความรักประเภทนี้ไม่ควรเรียกว่าความรัก แต่เป็นความร้าย เป็นรักร้าย ต้องให้ลูกระมัดระวังเวลาจะรักใครต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ในการเลือกแฟนหรือคู่ชีวิตด้วย
เวลาพ่อแม่พูดถึงเรื่องความรักกับลูกอย่ามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระเด็ดขาด หรืออย่าเอาแต่ห้ามปรามอย่างเดียว แต่ควรจะถือโอกาสในการพูดคุยทัศนคติเรื่องความรักไปเลย และอย่าพูดถึงความรักในมิติเดียวหรือเฉพาะเรื่องหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ควรให้ลูกได้เรียนรู้และคำนึงถึงความรักในมิติอื่นๆ ด้วย รักพ่อแม่ รักญาติพี่น้อง รักผู้อื่น รักเพื่อนมนุษย์ รักสัตว์เลี้ยง รักคนที่ขาดโอกาสหรือด้อยโอกาสกว่า เพื่อให้เขาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
และเรียนรู้จักรักอย่างมีคุณค่าค่ะ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่