สปสช. แจงเดินหน้า “โครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจก” รุกลดผู้ป่วยต้อกระจกชนิดบอดตกค้างรอคิวผ่าตัดรายใหม่ปีละเกือบ 60,000 ราย และต้อกระจกชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางในผู้สูงอายุ หวังเพิ่มคุณภาพชีวิตและป้องกันตาบอดที่จะตามมา เน้นสามจังหวัดชายแดนใต้เป็นของขวัญปีใหม่ที่ รมว.สาธารณสุข จะมอบให้กับประชาชน
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดำเนินโครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกของ สปสช. เกิดจากข้อจำกัดของการให้บริการผ่าตัดตาต้อกระจก ซึ่งต้องทำโดยจักษุแพทย์ที่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ทำให้การผ่าตัดต้อกระจกก่อนปี 2550 ทำได้เพียงปีละไม่เกิน 50,000 ตา หรือประมาณ 1,000 ตาต่อล้านประชากร ต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ควรอยู่ที่ 3,500 ตาต่อล้านประชากร หรือต่ำกว่าสวัสดิการข้าราชการที่ผ่าตัดต้อกระจกให้ข้าราชการและครอบครัวเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 ตาต่อล้านประชากร ขณะที่แต่ละปีจากข้อมูลการสำรวจภาวะตาบอด สายตาเลือนราง และโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของไทย ครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2549 - 2550 ซึ่งสำรวจประชากรทุกกลุ่มอายุทั่วประเทศ พบผู้ป่วยต้อกระจกอยู่ที่ร้อยละ 9.2 ของประชากรทั่วประเทศ 60 ล้านคน โดยมีจำนวนต้อกระจกสะสม 5.4 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในส่วนที่ สปสช. ต้องดูแลรับผิดชอบประมาณ 4.3 ล้านคน และน่าจะมีหลายแสนคนที่เป็นชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางกระทบต่อการดำรงชีวิตจนถึงชนิดบอดที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดต้อกระจกตามคำแนะนำผ่าตัดต้อกระจกของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย แต่ผู้ป่วยเหล่านี้เข้าไม่ถึงการบริการรักษา
ทั้งนี้ ถ้าจะแก้ไขปัญหาผ่าตัดต้อกระจกสะสมตามสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงรายใหม่ที่เกิดขึ้นแต่ละปี สปสช. ควรผ่าตัดต้อกระจกได้ปีละไม่น้อยกว่ากว่า 150,000 ตา หรือ 3,500 ตาต่อล้านประชากรตามมาตรฐานสากล ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติให้ สปสช. จัดทำโครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกขึ้นในปี 2550 เพื่อเพิ่มการบริการผ่าตัดต้อกระจกชนิดสายตาเลือนลางรุนแรงปานกลางและชนิดตาบอดจากเดิมบริการได้ปีละ 50,000 ตา เป็นไม่น้อยกว่าปีละ 120,000 ตา ด้วยการช่วงแรกเพิ่มบริการเชิงรุกในพื้นที่ขาดแคลน หรือมีการบริการต่ำโดยสนับสนุนให้หน่วยบริการของรัฐ เอกชน และมูลนิธิการกุศลต่างๆ เช่น พอ.สว. จัดบริการเชิงรุกควบคู่กับการบริการตั้งรับแบบปกติ ภายใต้การควบคุมตรวจสอบ ปรับเพิ่มคุณภาพมาตรฐานมากกว่าการผ่าตัดในระบบปกติ และในปีงบประมาณ 2558 นี้ จะเน้นทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายทหาร ในการณรงค์ค้นหา และผ่าตัดต้อกระจกชนิดบอดให้กับผู้สูงอายุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เเป็นของขวัญปีใหม่ตามนโยบายของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข
นพ.ปานเทพ คณานุรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนเครือข่ายระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ สปสช. กล่าวว่า สรุปภาพรวมการผ่าตัดต้อกระจก ปี 2550 - 2557 แนวโน้มจำนวนผ่าตัดต้อกระจกชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางและชนิดบอดเพิ่มขึ้นและคงที่อยู่ที่ประมาณปีละ 140,000 ตา ขณะที่จำนวนผ่าตัดเชิงรุกลดลงเหลือเฉพาะที่ให้บริการอยู่ใน รพ. ในพื้นที่ที่มีการผ่าตัดน้อยและมีคิวนัดผ่าตัดยาว โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคใต้ และมีแนวโน้มการให้บริการผ่าตัดชนิดบอดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมร้อยละ 15 เพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของการผ่าตัดต้อกระจกแต่ละปี โดยในช่วง 7 ปี มีผู้ป่วยต้อกระจกได้รับการผ่าตัดแล้ว 988,308 ราย หรือร้อยละ 45.9 ของกลุ่มผู้ป่วยที่ควรได้รับการผ่าตัดตามเกณฑ์ ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะตาบอด 128,480 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการบริการที่เข้าถึงผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“การรักษาผู้ป่วยต้อกระจกที่ สปสช. ดำเนินการ แม้ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น แต่จากข้อมูลการบริการที่ผ่านมา สปสช. มีอัตราผ่าตัดต้อกระจกเฉลี่ยเพียง 2,800 - 3,000 ตาต่อล้านประชากรต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 3,500 ตาต่อล้านประชากรต่อปี (เมื่อเทียบกลับจาก Cataract Triangle ที่เป็นมาตรฐานการกำหนดเป้าหมายของแต่ละประเทศ ตรงกับค่า VA เท่ากับหรือน้อยกว่า 20/100 ในเกณฑ์ที่ สปสช. กำหนดตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยต้อกระจกที่ยังต้องรับการรักษาอยู่ ถือเป็นความจำเป็นในการจัดบริการ ในด้านงบประมาณที่ สปสช. ใช้ต่อรายก็ยังต่ำกว่าของสวัสดิการข้าราชการและของเอกชนมาก” นพ.ปานเทพ กล่าว
ด้าน นางสำเภา นภีรงค์ ประธานเครือข่ายผู้สูงอายุหนองจอก กทม. กล่าวว่า โครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกของ สปสช. นับเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุในมีฐานะยากจน เข้าไม่ถึงการรักษา โดยช่วยให้ผู้ที่มีสายตาเลือนลางและอยู่ในภาวะตาบอดกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ภายหลังจากที่ สปสช.ดำเนินโครงการนี้ ในฐานะประธานเครือข่ายผู้สูงอายุหนอกจอกจึงได้รวบรวมผู้สูงอายุที่มีภาวะตาต้อกระจกในพื้นที่หนองจอกและใกล้เคียงเข้ารับการผ่าตัดจำนวนกว่าพันดวงตาแล้ว จึงนับเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์มาก
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดำเนินโครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกของ สปสช. เกิดจากข้อจำกัดของการให้บริการผ่าตัดตาต้อกระจก ซึ่งต้องทำโดยจักษุแพทย์ที่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ทำให้การผ่าตัดต้อกระจกก่อนปี 2550 ทำได้เพียงปีละไม่เกิน 50,000 ตา หรือประมาณ 1,000 ตาต่อล้านประชากร ต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ควรอยู่ที่ 3,500 ตาต่อล้านประชากร หรือต่ำกว่าสวัสดิการข้าราชการที่ผ่าตัดต้อกระจกให้ข้าราชการและครอบครัวเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 ตาต่อล้านประชากร ขณะที่แต่ละปีจากข้อมูลการสำรวจภาวะตาบอด สายตาเลือนราง และโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของไทย ครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2549 - 2550 ซึ่งสำรวจประชากรทุกกลุ่มอายุทั่วประเทศ พบผู้ป่วยต้อกระจกอยู่ที่ร้อยละ 9.2 ของประชากรทั่วประเทศ 60 ล้านคน โดยมีจำนวนต้อกระจกสะสม 5.4 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในส่วนที่ สปสช. ต้องดูแลรับผิดชอบประมาณ 4.3 ล้านคน และน่าจะมีหลายแสนคนที่เป็นชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางกระทบต่อการดำรงชีวิตจนถึงชนิดบอดที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดต้อกระจกตามคำแนะนำผ่าตัดต้อกระจกของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย แต่ผู้ป่วยเหล่านี้เข้าไม่ถึงการบริการรักษา
ทั้งนี้ ถ้าจะแก้ไขปัญหาผ่าตัดต้อกระจกสะสมตามสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงรายใหม่ที่เกิดขึ้นแต่ละปี สปสช. ควรผ่าตัดต้อกระจกได้ปีละไม่น้อยกว่ากว่า 150,000 ตา หรือ 3,500 ตาต่อล้านประชากรตามมาตรฐานสากล ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติให้ สปสช. จัดทำโครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกขึ้นในปี 2550 เพื่อเพิ่มการบริการผ่าตัดต้อกระจกชนิดสายตาเลือนลางรุนแรงปานกลางและชนิดตาบอดจากเดิมบริการได้ปีละ 50,000 ตา เป็นไม่น้อยกว่าปีละ 120,000 ตา ด้วยการช่วงแรกเพิ่มบริการเชิงรุกในพื้นที่ขาดแคลน หรือมีการบริการต่ำโดยสนับสนุนให้หน่วยบริการของรัฐ เอกชน และมูลนิธิการกุศลต่างๆ เช่น พอ.สว. จัดบริการเชิงรุกควบคู่กับการบริการตั้งรับแบบปกติ ภายใต้การควบคุมตรวจสอบ ปรับเพิ่มคุณภาพมาตรฐานมากกว่าการผ่าตัดในระบบปกติ และในปีงบประมาณ 2558 นี้ จะเน้นทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายทหาร ในการณรงค์ค้นหา และผ่าตัดต้อกระจกชนิดบอดให้กับผู้สูงอายุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เเป็นของขวัญปีใหม่ตามนโยบายของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข
นพ.ปานเทพ คณานุรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนเครือข่ายระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ สปสช. กล่าวว่า สรุปภาพรวมการผ่าตัดต้อกระจก ปี 2550 - 2557 แนวโน้มจำนวนผ่าตัดต้อกระจกชนิดสายตาเลือนรางรุนแรงปานกลางและชนิดบอดเพิ่มขึ้นและคงที่อยู่ที่ประมาณปีละ 140,000 ตา ขณะที่จำนวนผ่าตัดเชิงรุกลดลงเหลือเฉพาะที่ให้บริการอยู่ใน รพ. ในพื้นที่ที่มีการผ่าตัดน้อยและมีคิวนัดผ่าตัดยาว โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคใต้ และมีแนวโน้มการให้บริการผ่าตัดชนิดบอดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมร้อยละ 15 เพิ่มเป็นร้อยละ 25 ของการผ่าตัดต้อกระจกแต่ละปี โดยในช่วง 7 ปี มีผู้ป่วยต้อกระจกได้รับการผ่าตัดแล้ว 988,308 ราย หรือร้อยละ 45.9 ของกลุ่มผู้ป่วยที่ควรได้รับการผ่าตัดตามเกณฑ์ ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะตาบอด 128,480 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการบริการที่เข้าถึงผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“การรักษาผู้ป่วยต้อกระจกที่ สปสช. ดำเนินการ แม้ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น แต่จากข้อมูลการบริการที่ผ่านมา สปสช. มีอัตราผ่าตัดต้อกระจกเฉลี่ยเพียง 2,800 - 3,000 ตาต่อล้านประชากรต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 3,500 ตาต่อล้านประชากรต่อปี (เมื่อเทียบกลับจาก Cataract Triangle ที่เป็นมาตรฐานการกำหนดเป้าหมายของแต่ละประเทศ ตรงกับค่า VA เท่ากับหรือน้อยกว่า 20/100 ในเกณฑ์ที่ สปสช. กำหนดตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยต้อกระจกที่ยังต้องรับการรักษาอยู่ ถือเป็นความจำเป็นในการจัดบริการ ในด้านงบประมาณที่ สปสช. ใช้ต่อรายก็ยังต่ำกว่าของสวัสดิการข้าราชการและของเอกชนมาก” นพ.ปานเทพ กล่าว
ด้าน นางสำเภา นภีรงค์ ประธานเครือข่ายผู้สูงอายุหนองจอก กทม. กล่าวว่า โครงการป้องกันตาบอดจากต้อกระจกของ สปสช. นับเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุในมีฐานะยากจน เข้าไม่ถึงการรักษา โดยช่วยให้ผู้ที่มีสายตาเลือนลางและอยู่ในภาวะตาบอดกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ภายหลังจากที่ สปสช.ดำเนินโครงการนี้ ในฐานะประธานเครือข่ายผู้สูงอายุหนอกจอกจึงได้รวบรวมผู้สูงอายุที่มีภาวะตาต้อกระจกในพื้นที่หนองจอกและใกล้เคียงเข้ารับการผ่าตัดจำนวนกว่าพันดวงตาแล้ว จึงนับเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์มาก
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่