แพทยสภาไม่หวั่น “หมอพิสิฐ” เจ้าของคลินิกอุ้มบุญยื่นฟ้องเพิกถอนประกาศมาตรฐานอุ้มบุญ เหตุพ้นระยะเพิกถอนแล้ว เผยร่าง กม.อุ้มบุญ อยู่ระหว่าง พม. ยื่นส่ง สนช. พิจารณา ย้ำอุ้มบุญผิดกฎหมายควรเอาผิดเอเยนซีมากกว่าพ่อแม่ กลัวทำเด็กถูกทอดทิ้ง
วันนี้ (9 ก.ย.) ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณี นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนา เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟ เข้ามอบตัวและเตรียมให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนข้อบังคับของแพทยสภาบางข้อโดยอ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า ไม่รู้สึกหนักใจต่อการถูกฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากประกาศของแพทยสภา เรื่อง มาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ มีการบังคับใช้นานกว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งพ้นระยะตามที่ศาลปกครองกำหนดให้ขอเพิกถอนคำสั่งได้ ซึ่งต้องดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ซึ่งหาก นพ.พิสิฐ ไม่พอใจก็ต้องออกมาร้องก่อนหน้านั้น สิ่งที่ นพ.พิสิฐ สามารถร้องได้ก็คือผลตัดสินทางจริยธรรมของแพทยสภา อาจฟ้องร้องเพื่อขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนทางจริยธรรม โดยจะสรุปสำนวนความผิดเข้าสู่คณะกรรมการแพทยสภาวันที่ 11 ก.ย.
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า โดยเบื้องต้นแพทยสภาจะตั้งทีมกฎหมายขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมกรณีมีการฟ้องร้องขึ้นจริงด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบภายหลัง สำหรับความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... สรุปชัดเจนแล้วว่า การทำอุ้มบุญจะอนุญาตให้ใช้หญิงที่เป็นญาติสายตรงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่มีญาติสามารถขออนุญาตใช้หญิงอื่นอุ้มบุญแทนได้เป็นรายกรณี ซึ่งขณะนี้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งต่อไปยังชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาต่อไป อาจจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยันยันตามนั้นก็ได้
“ส่วนกรณีเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์ของแม่อุ้มบุญขณะนี้มีอยู่หลายราย เฉพาะของคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียประมาณ 100 รายนั้น คงว่าไปตามกฎหมาย แต่ที่เป็นปัญหาคือการนำเด็กออกนอกประเทศ ซึ่งอยู่ที่หลักเกณฑ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนตัวแล้วกฎหมายใหม่ที่ออกมาไม่อยากให้ไปเอาผิดกับพ่อแม่ แต่ให้เอาผิดกับบริษัทเอเยนซีมากกว่า เพราะหากไปเอาผิดพ่อแม่ด้วยจะทำให้กลัว และเกิดปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง อยากให้กฎหมายที่ออกมาเป็นกฎหมายที่คุ้มครองเด็กจริงๆ” นายกแพทยสภา กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (9 ก.ย.) ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณี นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนา เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟ เข้ามอบตัวและเตรียมให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนข้อบังคับของแพทยสภาบางข้อโดยอ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า ไม่รู้สึกหนักใจต่อการถูกฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากประกาศของแพทยสภา เรื่อง มาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ มีการบังคับใช้นานกว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งพ้นระยะตามที่ศาลปกครองกำหนดให้ขอเพิกถอนคำสั่งได้ ซึ่งต้องดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ซึ่งหาก นพ.พิสิฐ ไม่พอใจก็ต้องออกมาร้องก่อนหน้านั้น สิ่งที่ นพ.พิสิฐ สามารถร้องได้ก็คือผลตัดสินทางจริยธรรมของแพทยสภา อาจฟ้องร้องเพื่อขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนทางจริยธรรม โดยจะสรุปสำนวนความผิดเข้าสู่คณะกรรมการแพทยสภาวันที่ 11 ก.ย.
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า โดยเบื้องต้นแพทยสภาจะตั้งทีมกฎหมายขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมกรณีมีการฟ้องร้องขึ้นจริงด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบภายหลัง สำหรับความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... สรุปชัดเจนแล้วว่า การทำอุ้มบุญจะอนุญาตให้ใช้หญิงที่เป็นญาติสายตรงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่มีญาติสามารถขออนุญาตใช้หญิงอื่นอุ้มบุญแทนได้เป็นรายกรณี ซึ่งขณะนี้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งต่อไปยังชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาต่อไป อาจจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยันยันตามนั้นก็ได้
“ส่วนกรณีเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์ของแม่อุ้มบุญขณะนี้มีอยู่หลายราย เฉพาะของคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียประมาณ 100 รายนั้น คงว่าไปตามกฎหมาย แต่ที่เป็นปัญหาคือการนำเด็กออกนอกประเทศ ซึ่งอยู่ที่หลักเกณฑ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนตัวแล้วกฎหมายใหม่ที่ออกมาไม่อยากให้ไปเอาผิดกับพ่อแม่ แต่ให้เอาผิดกับบริษัทเอเยนซีมากกว่า เพราะหากไปเอาผิดพ่อแม่ด้วยจะทำให้กลัว และเกิดปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง อยากให้กฎหมายที่ออกมาเป็นกฎหมายที่คุ้มครองเด็กจริงๆ” นายกแพทยสภา กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่