จากกรณีที่มีจดหมายจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ถึงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องการให้การบ้านนักเรียน ไปถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต โดยมีใจความหลักให้คุณครูและผู้บริหารสถานศึกษาให้พิจารณาเรื่องการให้การบ้านเด็กนักเรียนอย่างเหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป ซึ่งก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดธุรกิจการรับจ้างการทำการบ้านอย่างมากมาย จนถึงขนาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาส่งสัญญาณให้กระทรวงศึกษาธิการแก้ปัญหาเรื่องนี้
เราต้องยอมรับว่าเรื่องการบ้านของเด็กนักเรียนเป็นปัญหามาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยที่คนเป็นพ่อแม่ยังเป็นเด็ก ก็ผจญกับปัญหาเรื่องทำการบ้านมาโดยตลอด ตั้งแต่การบ้านเยอะ, ลอกการบ้าน หรือให้ผู้อื่นทำการบ้านให้
จนกระทั่งมาถึงรุ่นพ่อแม่มีลูก ปัญหาเรื่องการบ้านก็ยังอยู่ และมีแนวโน้มจะเป็นปัญหาที่หนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพปัจจัยเรื่องการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบ้านมีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ คือ
หนึ่งการบ้านเยอะ ประเภทเด็กนักเรียนเรียนหนังสือ 7 คาบ คุณครูก็สั่งงานกันทุกคาบ โดยที่ไม่ได้ประสานกัน ต่างคนต่างสั่งการบ้าน เด็กนักเรียนก็รับไป
ผลที่ตามมาก็คือ เด็กเครียด ทำไม่ทัน ท้อแท้ไม่อยากทำ ไม่ได้เล่นหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็จะคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เด็กทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น ถ้าบ้านไหนจัดการช่วงเวลาทำการบ้านไม่ดี มักจะกลายเป็นช่วงเวลาฝันร้ายของครอบครัวทีเดียว เพราะจะมีผู้ใหญ่มาคอยยืนจังก้า ไม่ยอมให้เด็กทำสิ่งอื่นนอกจากทำการบ้านให้เสร็จเท่านั้น
สองการบ้านยาก ประเภทเด็กยังไม่ได้เรียนเนื้อหานั้น ๆ แต่ถูกนำมาเป็นการบ้าน หรือเด็กยังไม่เข้าใจดีพอ ทำให้ไม่สามารถทำได้
ผลที่ตามมา พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องเข้าไปช่วย บางคนถึงขนาดทำให้ด้วยการลงทุนเขียนลายมือเด็กเพราะสงสารลูก หรือบางคนใช้วิธีจ้างให้คนมาสอนการบ้าน หรือขั้นสุดท้ายเด็กไปลอกการบ้านเพื่อนที่โรงเรียนก็มีให้เห็นมากมาย
แล้วเรื่องการบ้านเยอะและยากนี่แหละ จึงกลายเป็นช่องว่างให้บรรดานักฉวยโอกาส รับทำการบ้านให้เด็กซะเลย เพราะรู้ว่าพ่อแม่ยุคนี้มีปัญหาเรื่องเวลา ไม่สามารถอยู่ทำการบ้านกับลูกได้ พ่อแม่บางคนก็ใช้วิธีให้ลูกทำการบ้านที่โรงเรียน หรือเรียนพิเศษนั่นแหละหลังเลิกเรียน เพียงแต่แทนที่จะเรียนเพิ่ม ก็เป็นการสอนทำการบ้าน
หนักเข้าก็กลายมาเป็นรับจ้างทำการบ้าน ซึ่งก็เห็นกันอยู่ตามออนไลน์เต็มไปหมด
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าอยู่โรงเรียนอะไร มีนโยบายอย่างไรแล้ว ต้องวัดดวงเอาด้วยว่าจะเจอคุณครูประจำชั้นคนไหน หรือคุณครูรายวิชาเป็นอย่างไร เด็กนักเรียนไม่มีสิทธิเลือกอยู่แล้ว
แต่เด็กนักเรียนจะรู้กันเองว่าอยู่ห้องไหนแล้ว ใครโชคดีหรือโชคร้าย !!
อันที่จริง การที่เด็กมีการบ้านเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องกลับไปดูหลักการในอดีตก่อนว่า การให้การบ้านคือ การให้เด็กได้มีโอกาสกลับไปทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งวันมิใช่หรือ
ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็จะได้รู้ด้วยว่า ลูกของตัวเองเรียนอะไรบ้างในแต่ละวัน มีการตรวจสอบการบ้านลูก พูดคุยกับลูก แล้วพ่อแม่ก็จะได้รู้ด้วยว่าลูกของเราเรียนในแต่ละวันเข้าใจมากน้อยขนาดไหน เรียนวิชาใดได้ดี วิชาใดอ่อน ถ้าอ่อนวิชาใดก็จะได้พยายามหาทางช่วยเหลือลูก
การให้การบ้านเป็นศิลปะประการหนึ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาและคุณครูต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่สักแต่ให้การบ้านเด็กโดยไม่คำนึงถึงผลที่เด็กจะได้จากการบ้าน
สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงสภาวะครอบครัวในยุคปัจจุบันด้วย สภาพปัญหาการจราจรที่เป็นอุปสรรคใหญ่ กว่าเด็กจะกลับถึงบ้านก็หัวค่ำแล้ว ต้องกินข้าว ทำการบ้าน แล้วก็อาบน้ำนอน โดยที่ยังไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เขาอยากจะเล่นตามวัย
ทุกครั้งที่จะให้การบ้านเด็ก ช่วยคำนึงด้วยว่าเด็กจะได้อะไรจากการบ้านชิ้นนั้น เด็กสามารถทำได้เอง หรือสุดท้ายก็ไม่ได้ทำเอง แล้วปริมาณของการบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญ มีวิธีการวัดความรู้ที่เรียนมาเพื่อทบทวนได้หลายรูปแบบ คุณครูก็น่าจะลองวิธีใหม่ๆ บ้างไม่ใช่แค่สั่งงาน
เราเรียกร้องเรื่องปฏิรูปการศึกษามานานแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที เรื่องการบ้านก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นอุปสรรค และเป็นปัญหาที่สะท้อนว่า แม้ว่าคุณครูจะให้การบ้านเด็กเยอะและยากแล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยก็ยังต่ำอยู่
ถึงเวลาที่ต้องทบทวนเรื่องการบ้านแล้วล่ะค่ะว่าเป็นปัญหาของใครกันแน่ !!
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
เราต้องยอมรับว่าเรื่องการบ้านของเด็กนักเรียนเป็นปัญหามาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยที่คนเป็นพ่อแม่ยังเป็นเด็ก ก็ผจญกับปัญหาเรื่องทำการบ้านมาโดยตลอด ตั้งแต่การบ้านเยอะ, ลอกการบ้าน หรือให้ผู้อื่นทำการบ้านให้
จนกระทั่งมาถึงรุ่นพ่อแม่มีลูก ปัญหาเรื่องการบ้านก็ยังอยู่ และมีแนวโน้มจะเป็นปัญหาที่หนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพปัจจัยเรื่องการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบ้านมีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ คือ
หนึ่งการบ้านเยอะ ประเภทเด็กนักเรียนเรียนหนังสือ 7 คาบ คุณครูก็สั่งงานกันทุกคาบ โดยที่ไม่ได้ประสานกัน ต่างคนต่างสั่งการบ้าน เด็กนักเรียนก็รับไป
ผลที่ตามมาก็คือ เด็กเครียด ทำไม่ทัน ท้อแท้ไม่อยากทำ ไม่ได้เล่นหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็จะคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เด็กทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น ถ้าบ้านไหนจัดการช่วงเวลาทำการบ้านไม่ดี มักจะกลายเป็นช่วงเวลาฝันร้ายของครอบครัวทีเดียว เพราะจะมีผู้ใหญ่มาคอยยืนจังก้า ไม่ยอมให้เด็กทำสิ่งอื่นนอกจากทำการบ้านให้เสร็จเท่านั้น
สองการบ้านยาก ประเภทเด็กยังไม่ได้เรียนเนื้อหานั้น ๆ แต่ถูกนำมาเป็นการบ้าน หรือเด็กยังไม่เข้าใจดีพอ ทำให้ไม่สามารถทำได้
ผลที่ตามมา พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องเข้าไปช่วย บางคนถึงขนาดทำให้ด้วยการลงทุนเขียนลายมือเด็กเพราะสงสารลูก หรือบางคนใช้วิธีจ้างให้คนมาสอนการบ้าน หรือขั้นสุดท้ายเด็กไปลอกการบ้านเพื่อนที่โรงเรียนก็มีให้เห็นมากมาย
แล้วเรื่องการบ้านเยอะและยากนี่แหละ จึงกลายเป็นช่องว่างให้บรรดานักฉวยโอกาส รับทำการบ้านให้เด็กซะเลย เพราะรู้ว่าพ่อแม่ยุคนี้มีปัญหาเรื่องเวลา ไม่สามารถอยู่ทำการบ้านกับลูกได้ พ่อแม่บางคนก็ใช้วิธีให้ลูกทำการบ้านที่โรงเรียน หรือเรียนพิเศษนั่นแหละหลังเลิกเรียน เพียงแต่แทนที่จะเรียนเพิ่ม ก็เป็นการสอนทำการบ้าน
หนักเข้าก็กลายมาเป็นรับจ้างทำการบ้าน ซึ่งก็เห็นกันอยู่ตามออนไลน์เต็มไปหมด
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าอยู่โรงเรียนอะไร มีนโยบายอย่างไรแล้ว ต้องวัดดวงเอาด้วยว่าจะเจอคุณครูประจำชั้นคนไหน หรือคุณครูรายวิชาเป็นอย่างไร เด็กนักเรียนไม่มีสิทธิเลือกอยู่แล้ว
แต่เด็กนักเรียนจะรู้กันเองว่าอยู่ห้องไหนแล้ว ใครโชคดีหรือโชคร้าย !!
อันที่จริง การที่เด็กมีการบ้านเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องกลับไปดูหลักการในอดีตก่อนว่า การให้การบ้านคือ การให้เด็กได้มีโอกาสกลับไปทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งวันมิใช่หรือ
ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็จะได้รู้ด้วยว่า ลูกของตัวเองเรียนอะไรบ้างในแต่ละวัน มีการตรวจสอบการบ้านลูก พูดคุยกับลูก แล้วพ่อแม่ก็จะได้รู้ด้วยว่าลูกของเราเรียนในแต่ละวันเข้าใจมากน้อยขนาดไหน เรียนวิชาใดได้ดี วิชาใดอ่อน ถ้าอ่อนวิชาใดก็จะได้พยายามหาทางช่วยเหลือลูก
การให้การบ้านเป็นศิลปะประการหนึ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาและคุณครูต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่สักแต่ให้การบ้านเด็กโดยไม่คำนึงถึงผลที่เด็กจะได้จากการบ้าน
สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงสภาวะครอบครัวในยุคปัจจุบันด้วย สภาพปัญหาการจราจรที่เป็นอุปสรรคใหญ่ กว่าเด็กจะกลับถึงบ้านก็หัวค่ำแล้ว ต้องกินข้าว ทำการบ้าน แล้วก็อาบน้ำนอน โดยที่ยังไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เขาอยากจะเล่นตามวัย
ทุกครั้งที่จะให้การบ้านเด็ก ช่วยคำนึงด้วยว่าเด็กจะได้อะไรจากการบ้านชิ้นนั้น เด็กสามารถทำได้เอง หรือสุดท้ายก็ไม่ได้ทำเอง แล้วปริมาณของการบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญ มีวิธีการวัดความรู้ที่เรียนมาเพื่อทบทวนได้หลายรูปแบบ คุณครูก็น่าจะลองวิธีใหม่ๆ บ้างไม่ใช่แค่สั่งงาน
เราเรียกร้องเรื่องปฏิรูปการศึกษามานานแล้วก็ยังไม่สำเร็จสักที เรื่องการบ้านก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นอุปสรรค และเป็นปัญหาที่สะท้อนว่า แม้ว่าคุณครูจะให้การบ้านเด็กเยอะและยากแล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยก็ยังต่ำอยู่
ถึงเวลาที่ต้องทบทวนเรื่องการบ้านแล้วล่ะค่ะว่าเป็นปัญหาของใครกันแน่ !!
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่