“หมอประมวล” ผู้บุกเบิกการทำเด็กหลอดแก้วในไทย คาดเด็กอุ้มบุญ 21 รายเกิดจากการฉีดเชื้ออสุจิของพ่อญี่ปุ่น ผสมกับไข่หญิงรับตั้งครรภ์โดยตรง เหตุทำง่ายค่าใช้จ่ายถูกกว่าการปฏิสนธิภายนอกมาก ทำให้ได้เด็กอายุไล่เรียงกันเป็นจำนวนมาก ชี้วิธีนี้ผิดศีลธรรมและจริยธรรมแพทย์ กลายเป็นเครื่องมือทำชู้ให้ชาวบ้าน
ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล วีรุตมเสน สูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ในฐานะอาจารย์แพทย์ผู้ให้กำเนิดเด็กผสมเทียมคนแรกของไทย กล่าวถึงกรณีพบเด็กอีก 21 คน ซึ่งมีชื่อเป็นพี่น้องในทะเบียนบ้าน ภายในคอนโดย่านลาดพร้าว โดยคาดว่าน่าจะเกิดจากการทำอุ้มบุญของพ่อชาวญี่ปุ่น นายชิเกตะ มิตซูโตกิ วัย 24 ปี ซึ่งเป็นพ่อของเด็กอย่างน้อย 15 คน ซึ่งเกิดจากแม่อุ้มบุญชาวไทย ว่า การทำอุ้มบุญมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. การทำอุ้มบุญโดยใช้เชื้ออสุจิและไข่ของคู่สามีภรรยา มาผสมกันภายนอกแล้วฉีดเข้าไปให้แก่หญิงอีกคนที่รับตั้งครรภ์แทน และ 2. การใช้เชื้ออสุจิของฝ่ายสามีฉีดเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนโดยตรง ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่ากรณีเด็ก 21 คนที่มีอายุไล่เรียงกันเช่นนี้น่าจะเกิดจากการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงรับตั้งครรภ์โดยตรงทีละคนๆ มากกว่า
ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล กล่าวว่า ที่เป้นเช่นนั้นเพราะว่าการฉีดเชื้อเข้าไปผสมโดยตรงมีราคาที่ถูกกว่า และขั้นตอนง่ายกว่าการทำอุ้มบุญแบบเด็กหลอดแก้ว ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องรอให้มีการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนภายนอกก่อนแล้วฉีดเข้าไปในช่องคลอดของหญิงรับตั้งครรภ์แทน แม้โอกาสการตั้งครรภ์โดยวิธีฉีดเชื้อโดยตรงจะมีเพียง 15% ก็ตาม จึงทำให้เด็กมีอายุไล่เรียงกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ โดยค่าใช้จ่ายของการฉีดเชื้อโดยตรงอยู่ที่ประมาณหลักพันถึงหลักหมื่น แต่การทำอุ้มบุญโดยการปฏิสนธิภายนอกก่อนราคาก็อยู่ที่หลักแสนบาทขึ้นไป
“การอุ้มบุญด้วยการฉีดเชื้อโดยตรงเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงรับตั้งครรภ์แทน หากเปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนใช้แพทย์ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการมีชู้ คือ มีลูกกับผู้หญิงคนอื่น โดยไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นข้อห้ามสำหรับแพทย์ เพราะผิดมารยาท ผิดศีลธรรม” ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล กล่าว
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่า พ่อของเด็กเป็นชาวญี่ปุ่นจริง แต่จะเป็นการทำให้หญิงตั้งครรภ์ด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว หรือ ฉีดน้ำเชื้อเข้าไปโดยตรงเลยนั้น จะสามารถทราบได้ชัดเจนคือ การสอบสวน นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล แพทย์ของคลินิกออล ไอ.วี.เอฟ. และสอบถามจากแม่อุ้มบุญ ซึ่งขณะนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สืบหาหลักฐานและตามตัว นพ.พิสิฐ ให้ได้ก่อน เพื่อลงโทษในเชิงจริยธรรมและใบอนุญาตต่อไป และไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำเชื้อโดยตรง หรือ การนำไข่และน้ำเชื้อ ใส่ในแม่อุ้มบุญก็ถือว่าผิดเช่นเดียวกัน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล วีรุตมเสน สูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ในฐานะอาจารย์แพทย์ผู้ให้กำเนิดเด็กผสมเทียมคนแรกของไทย กล่าวถึงกรณีพบเด็กอีก 21 คน ซึ่งมีชื่อเป็นพี่น้องในทะเบียนบ้าน ภายในคอนโดย่านลาดพร้าว โดยคาดว่าน่าจะเกิดจากการทำอุ้มบุญของพ่อชาวญี่ปุ่น นายชิเกตะ มิตซูโตกิ วัย 24 ปี ซึ่งเป็นพ่อของเด็กอย่างน้อย 15 คน ซึ่งเกิดจากแม่อุ้มบุญชาวไทย ว่า การทำอุ้มบุญมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. การทำอุ้มบุญโดยใช้เชื้ออสุจิและไข่ของคู่สามีภรรยา มาผสมกันภายนอกแล้วฉีดเข้าไปให้แก่หญิงอีกคนที่รับตั้งครรภ์แทน และ 2. การใช้เชื้ออสุจิของฝ่ายสามีฉีดเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนโดยตรง ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่ากรณีเด็ก 21 คนที่มีอายุไล่เรียงกันเช่นนี้น่าจะเกิดจากการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงรับตั้งครรภ์โดยตรงทีละคนๆ มากกว่า
ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล กล่าวว่า ที่เป้นเช่นนั้นเพราะว่าการฉีดเชื้อเข้าไปผสมโดยตรงมีราคาที่ถูกกว่า และขั้นตอนง่ายกว่าการทำอุ้มบุญแบบเด็กหลอดแก้ว ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องรอให้มีการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนภายนอกก่อนแล้วฉีดเข้าไปในช่องคลอดของหญิงรับตั้งครรภ์แทน แม้โอกาสการตั้งครรภ์โดยวิธีฉีดเชื้อโดยตรงจะมีเพียง 15% ก็ตาม จึงทำให้เด็กมีอายุไล่เรียงกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ โดยค่าใช้จ่ายของการฉีดเชื้อโดยตรงอยู่ที่ประมาณหลักพันถึงหลักหมื่น แต่การทำอุ้มบุญโดยการปฏิสนธิภายนอกก่อนราคาก็อยู่ที่หลักแสนบาทขึ้นไป
“การอุ้มบุญด้วยการฉีดเชื้อโดยตรงเข้าไปผสมกับไข่ของหญิงรับตั้งครรภ์แทน หากเปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนใช้แพทย์ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการมีชู้ คือ มีลูกกับผู้หญิงคนอื่น โดยไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นข้อห้ามสำหรับแพทย์ เพราะผิดมารยาท ผิดศีลธรรม” ศ.กิตติคุณ นพ.ประมวล กล่าว
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่า พ่อของเด็กเป็นชาวญี่ปุ่นจริง แต่จะเป็นการทำให้หญิงตั้งครรภ์ด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว หรือ ฉีดน้ำเชื้อเข้าไปโดยตรงเลยนั้น จะสามารถทราบได้ชัดเจนคือ การสอบสวน นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล แพทย์ของคลินิกออล ไอ.วี.เอฟ. และสอบถามจากแม่อุ้มบุญ ซึ่งขณะนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สืบหาหลักฐานและตามตัว นพ.พิสิฐ ให้ได้ก่อน เพื่อลงโทษในเชิงจริยธรรมและใบอนุญาตต่อไป และไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำเชื้อโดยตรง หรือ การนำไข่และน้ำเชื้อ ใส่ในแม่อุ้มบุญก็ถือว่าผิดเช่นเดียวกัน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่