สปสช. ยันไม่ได้ให้หมออนามัยบันทึกข้อมูลสุขภาพแลกเงิน ระบุมีเพียงโปรแกรมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เท่านั้น แต่ทำใน รพช. เว้นบางแห่งทำเชิงรุกใน รพ.สต. แต่มีเล็กน้อยเพียง 17 เท่านั้น โบ้ย สธ. ทำบันทึก 21 แฟ้ม เป็นฐานข้อมูลวางแผนการทำงาน ระบุ สปสช. นำมาใช้จัดสรรงบ
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ปัจจุบัน สปสช. มีการให้หน่วยบริการสาธารณสุขบันทึกข้อมูลตามโปรแกรมเฉพาะของ สปสช. 1 โปรแกรม คือ โปรแกรมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งปี 2557 มีระยะเวลาการรณรงค์ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 31 ก.ค. แต่สามารถเข้ารับการฉีดได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. และหน่วยบริการสามารถบันทึกข้อมูลมาได้จนถึง 31 พ.ย. ทั้งนี้การฉีดวัคซีนหวัดใหญ่จะทำในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยของประชาชนหากเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่บางพื้นที่มีการฉีดวัคซีนเชิงรุกไปที่ รพ.สต. ที่มีแพทย์หมุนเวียน รพช. จึงให้ รพ.สต. บันทึก ซึ่งที่ผ่านมามีการบันทึกข้อมูลฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใน รพ.สต. ประมาณร้อยละ 17 ที่เหลือเป็นหน่วยบริการในระดับอื่น
ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า ส่วนโปรแกรมบันทึกข้อมูลของหน่วยงานอื่นที่ สปสช. ใช้ข้อมูลร่วม 1 โปรแกรม คือ โปรแกรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ ส่วนการบันทึกข้อมูลบริการผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยในเพื่อจัดทำข้อมูล 21 แฟ้มนั้น เป็นโปรแกรมที่ สธ. ดำเนินการอยู่แล้ว สปสช. เพียงขอใช้ฐานข้อมูลตรงนี้มาจัดทำแผนการจัดสรรงบประมาณเท่านั้นเอง
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ข้อมูลการให้บริการสุขภาพประชาชนนั้น เป็นฐานข้อมูลที่สำคัญระดับประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุข ตั้งแต่การวางแผนงบประมาณ การจัดบริการ การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ซึ่ง สปสช. เองก็เข้าใจและตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ของบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข และเชื่อว่า หากมีการออกแบบระบบการบริหารจัดการที่ สธ. กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก็จะช่วยแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ เพื่อให้หมออนามัยได้ทำหน้าที่บริการสาธารณสุขปฐมภูมิได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ต้องเรียนชี้แจงว่า สปสช. นั้น ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน ในการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชนด้านการรักษาพยาบาล คือ เมื่อเจ็บป่วยไม่ต้องล้มละลายจากการต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพตามความจำเป็น ซึ่งงบประมาณที่ใช้ดำเนินการเป็นภาษีของประชาชน ดังนั้นการใช้จ่ายเงินจึงต้องยึดหลักการจ่ายตามผลการปฏิบัติงานหรือ P4P ซึ่ง สปสช. พยายามดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของ สธ. ที่ใช้ในการปฏิรูป ไม่ได้เป็นเรื่องของการบันทึกข้อมูลเพื่อแลกเงินอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องของการจัดสรรเงินตามฐานข้อมูล ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนนั่นเอง” ทพ.อรรถพร กล่าว
ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่า ภาระงานที่น่าจะเป็นปัญหาในระดับ รพ.สต. คือ การบันทึกข้อมูลการคัดกรอง NCD หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ที่ สธ. กำหนด ซึ่งมีการบันทึกข้อมูลเป็นจำนวนมากตามเป้าหมายของหน่วยบริการ ได้แก่ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ป่วยด้วยความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ซึ่ง รพ.สต. ต้องบันทึกให้ได้ตามตัวชี้วัดคือ มากกว่าร้อยละ 85 และบางแห่งก็มีกลุ่มเป้าหมายมากกว่าหมื่นราย ทำให้ต้องเร่งบันทึกในเวลาที่จำกัด นอกจากนั้นยังมีการบันทึกข้อมูลการรณรงค์การให้วัคซีน เช่น คอตีบไอกรน โปลิโอ ที่ สธ. จัดให้มีการรณรงค์ และการบันทึกข้อมูลการเฝ้าระวังทางโภชนาการของ สธ. ที่มีจำนวนเป้าหมายการบันทึกมากเช่นกัน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ปัจจุบัน สปสช. มีการให้หน่วยบริการสาธารณสุขบันทึกข้อมูลตามโปรแกรมเฉพาะของ สปสช. 1 โปรแกรม คือ โปรแกรมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งปี 2557 มีระยะเวลาการรณรงค์ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 31 ก.ค. แต่สามารถเข้ารับการฉีดได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. และหน่วยบริการสามารถบันทึกข้อมูลมาได้จนถึง 31 พ.ย. ทั้งนี้การฉีดวัคซีนหวัดใหญ่จะทำในโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยของประชาชนหากเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่บางพื้นที่มีการฉีดวัคซีนเชิงรุกไปที่ รพ.สต. ที่มีแพทย์หมุนเวียน รพช. จึงให้ รพ.สต. บันทึก ซึ่งที่ผ่านมามีการบันทึกข้อมูลฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใน รพ.สต. ประมาณร้อยละ 17 ที่เหลือเป็นหน่วยบริการในระดับอื่น
ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า ส่วนโปรแกรมบันทึกข้อมูลของหน่วยงานอื่นที่ สปสช. ใช้ข้อมูลร่วม 1 โปรแกรม คือ โปรแกรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ ส่วนการบันทึกข้อมูลบริการผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยในเพื่อจัดทำข้อมูล 21 แฟ้มนั้น เป็นโปรแกรมที่ สธ. ดำเนินการอยู่แล้ว สปสช. เพียงขอใช้ฐานข้อมูลตรงนี้มาจัดทำแผนการจัดสรรงบประมาณเท่านั้นเอง
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ข้อมูลการให้บริการสุขภาพประชาชนนั้น เป็นฐานข้อมูลที่สำคัญระดับประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุข ตั้งแต่การวางแผนงบประมาณ การจัดบริการ การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ซึ่ง สปสช. เองก็เข้าใจและตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ของบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข และเชื่อว่า หากมีการออกแบบระบบการบริหารจัดการที่ สธ. กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก็จะช่วยแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ เพื่อให้หมออนามัยได้ทำหน้าที่บริการสาธารณสุขปฐมภูมิได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ต้องเรียนชี้แจงว่า สปสช. นั้น ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน ในการคุ้มครองสิทธิ์ของประชาชนด้านการรักษาพยาบาล คือ เมื่อเจ็บป่วยไม่ต้องล้มละลายจากการต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพตามความจำเป็น ซึ่งงบประมาณที่ใช้ดำเนินการเป็นภาษีของประชาชน ดังนั้นการใช้จ่ายเงินจึงต้องยึดหลักการจ่ายตามผลการปฏิบัติงานหรือ P4P ซึ่ง สปสช. พยายามดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของ สธ. ที่ใช้ในการปฏิรูป ไม่ได้เป็นเรื่องของการบันทึกข้อมูลเพื่อแลกเงินอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องของการจัดสรรเงินตามฐานข้อมูล ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนนั่นเอง” ทพ.อรรถพร กล่าว
ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่า ภาระงานที่น่าจะเป็นปัญหาในระดับ รพ.สต. คือ การบันทึกข้อมูลการคัดกรอง NCD หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ที่ สธ. กำหนด ซึ่งมีการบันทึกข้อมูลเป็นจำนวนมากตามเป้าหมายของหน่วยบริการ ได้แก่ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ป่วยด้วยความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ซึ่ง รพ.สต. ต้องบันทึกให้ได้ตามตัวชี้วัดคือ มากกว่าร้อยละ 85 และบางแห่งก็มีกลุ่มเป้าหมายมากกว่าหมื่นราย ทำให้ต้องเร่งบันทึกในเวลาที่จำกัด นอกจากนั้นยังมีการบันทึกข้อมูลการรณรงค์การให้วัคซีน เช่น คอตีบไอกรน โปลิโอ ที่ สธ. จัดให้มีการรณรงค์ และการบันทึกข้อมูลการเฝ้าระวังทางโภชนาการของ สธ. ที่มีจำนวนเป้าหมายการบันทึกมากเช่นกัน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่