ผลสำรวจชี้ พนันบอล-เข้าบ่อน-ตู้ม้า นำไปสู่โรคติดพนัน อึ้ง! ยอมควักกระเป๋าแทงบอล 260,000 บาทต่อปี เล่นครั้งแรกอายุน้อยสุด 7 ปี แนะจับตาบอลโลก 2014 หวั่นผีพนันออกอาละวาด พบคนกรุง-ปริมณฑลยังนิยมเล่นลอตเตอรี ชูปัญหาพนันเป็นวาระแห่งชาติ เสนอแก้กฎหมายปราบธุรกิจพนัน ด้าน “ส.ว.มณเฑียร” ชงปฏิรูปยกเครื่องกองสลากฯ หยุดหวยขูดมอมเมาสังคม ขณะที่ คปก. หนุนสลากเพื่อสังคม ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
วันนี้ (23 พ.ค.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ในเวทีประชุมวิชาการ หัวข้อ “การพนัน อำนาจท่ามกลางกระแสปฏิรูป” จัดโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมและผลกระทบจากการเล่นพนันในประเทศไทย ล่าสุดปี 2556 โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือสำรวจประชาชนอายุ 15 ปี ขึ้นไปในทุกสาขาอาชีพ จำนวน 5,102 ตัวอย่าง และสำรวจกลุ่มตัวอย่างระดับนักศึกษาปริญญาตรีทั่วประเทศ 2,000 ตัวอย่าง พบการเล่นพนันครั้งแรก ร้อยละ 40 เริ่มมาจากเล่นไพ่ ร้อยละ 30 เล่นหวยใต้ดิน ร้อยละ 9 เล่นสลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 7 เล่นพนันฟุตบอล ร้อยละ 6 เล่นไฮโล เมื่อพิจารณาตามภูมิภาคพบว่า คนกรุงเทพฯและปริมณฑลเล่นสลากกินแบ่งเป็นครั้งแรกมากที่สุด ในขณะที่คนภาคเหนือเล่นหวยใต้ดิน ส่วนคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเล่นไพ่ และคนภาคใต้เล่นพนันฟุตบอล
จากการสำรวจพบว่าผู้ที่เคยเล่นการพนันครั้งแรกมีอายุน้อยสุดคือ 7 ปี โดยมีการเล่นหวยใต้ดิน ตีไก่ ไฮโล ดีด หรือโยนลูกแก้ว น้ำเต้าปูปลา และไพ่ ส่วนใหญ่คนที่เล่นการพนันครั้งแรกที่มีอายุน้อยจะเริ่มจากการเล่นไพ่ พนันฟุตบอล ขณะที่คนที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป มักเริ่มเล่นพนันครั้งแรก จากการเล่นหวยใต้ดินเหตุผลที่เล่น คือ ต้องการเสี่ยงโชคร้อยละ 45 อยากได้เงินร้อยละ 39 เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินร้อยละ 25 และมีคนชวนร้อยละ 19 ทั้งนี้ พบว่าเกินกว่าร้อยละ 90 ของนักศึกษาที่เล่นพนันในบ่อน จะเล่นไพ่ควบคู่ไปด้วย โดยพบว่ามีการเล่นประมาณ 350,000 คนทั่วประเทศ อาจจะพัฒนาไปสู่การเล่นพนันที่เป็นอันตรายมากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวังคือ การเล่นไพ่ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด และส่วนใหญ่เป็นการเล่นกันเองในกลุ่มนักศึกษา และยิ่งกระแสฟุตบอลโลก 2014 กำลังมาแรง ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.- 13 ก.ค. 57 คาดว่าจะมีเงินสะพัดจากการเล่นพนันบอลมากขึ้น
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวว่า จากการสำรวจประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่า มีการพนันฟุตบอลร้อยละ 9.41 โดยเล่นมานานกว่า 6 ปี ยอมควักเงินเฉลี่ยทั้งปี 260,000 บาทต่อคน ช่องทางการเล่น คือ เล่นผ่านเจ้ามือรับแทง เล่นผ่านทางเว็บไซต์ และเล่นกันเองในหมู่เพื่อน ขณะที่กลุ่มนักศึกษาที่เล่นพนันฟุตบอล มีประมาณ 104,000 คน วงเงิน 36,000 บาทต่อคนต่อปี ช่องทางการเล่น นิยมผ่านเจ้ามือ รองลงมาเล่นกันเองกับเพื่อน แทงพนันผ่านเว็บไซต์ นักศึกษาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นิยมเล่นพนันฟุตบอลผ่านเว็บไซต์พนันมากกว่าต่างจังหวัด สำหรับสื่อที่นักศึกษาใช้รับข้อมูลข่าวสารเพื่อเล่นพนันฟุตบอล คือ สื่อออนไลน์ร้อยละ 83 รองลงมาคือ สื่อโทรทัศน์ร้อยละ 34 และสื่อหนังสือพิมพ์กีฬาร้อยละ 31
“ผลสำรวจทั้งสองกลุ่ม พบว่า 1 ใน 3 ประสบปัญหาจากการเล่นพนันเช่นเดียวกัน โดยเป็นปัญหาทางด้านการเงินร้อยละ 11 มีพฤติกรรมที่ส่อถึงการเสพติดการพนัน ได้แก่ ร้อยละ 11 เคยเล่นพนันเกินความสามารถในการจ่าย ร้อยละ 18 เคยเล่นพนันเกินความต้องการจะเล่น และร้อยละ 39 เคยเล่นพนันเพื่อต้องการได้เงินที่เสียคืนมา นอกนั้นร้อยละ 46 รู้สึกผิดจากการเล่นพนัน ร้อยละ 62 เคยคิดที่จะลด/เลิกเล่นพนัน” รศ.ดร.นวลน้อย กล่าว
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวว่า คนที่เล่นพนันมีปัญหามากถึงร้อยละ 30 ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ หนักสุดคือปัญหาทางด้านการเงิน ส่วนใหญ่แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืม นำทรัพย์สินไปจำนำหรือขาย ขณะที่ร้อยละ 90 ของผู้เล่นพนัน ระบุว่า ไม่เคยถูกจับกุม และผู้ที่เคยถูกลงโทษกว่าครึ่ง ยังยืนยันที่จะเล่นพนันต่อไป ทั้งนี้ นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบส่วนมากมีปัญหาด้านการเรียน ครอบครัว เพื่อน และคนรัก โดยผลกระทบที่รุนแรง คือ การเล่นพนันฟุตบอล เล่นพนันในบ่อน และเล่นพนันตู้ม้า เนื่องจากต้องใช้วงเงินค่อนข้างสูงและต้องเล่นต่อเนื่อง
“จากผลสำรวจสะท้อนว่าประเภทการพนันต่างๆ มีแนวโน้มนำไปสู่โรคติดการพนันได้ง่าย เช่น พนันฟุตบอล พนันในบ่อน พนันตู้ม้า ทั้งนี้ขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังนี้ 1. เร่งปราบปรามธุรกิจพนันที่ผิดกฎหมายควรอย่างจริงจัง และแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนันเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เป็นจริง 2. รณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการเล่นพนัน 3. รัฐบาลควรยกระดับการแก้ปัญหาการพนันเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมเปิดเวทีสาธารณะให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” รศ.ดร.นวลน้อย กล่าว
นายมณเฑียร บุญตัน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการสลากในประเทศไทย วุฒิสภา กล่าวว่า การพนันในสังคมไทยถือเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ยิ่งสังคมมีความเหลื่อมล้ำเท่าไหร่ การพนันยิ่งมีอิทธิพลส่งผลร้ายแรงเป็นเงาตามตัว ดังนั้น เราต้องหันมาจัดระเบียบจัดการปัญหา ซึ่งหลายฝ่ายพยายามผลักดันกำหนดหลักเกณฑ์กติกาใหม่ให้สอดรับกับสภาพปัจจุบัน สิ่งที่ควรปฏิรูปมากที่สุดตอนนี้คือ ระบบบริหารจัดการสลาก เนื่องจากเป็นการพนันที่รัฐเข้าไปบริหารจัดการควบคุม จึงควรนำเงินมาแก้ไขเยียวยาสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม และรณรงค์ให้เกิดการลดละเลิกการพนัน
“ขณะนี้ทุกภาคส่วนเห็นด้วยที่จะปฏิรูปสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสลากเพื่อสังคมนำเงินรายได้มาจัดตั้งกองทุนพัฒนาสังคม ช่วยเหลือ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ไม่ใช่เอาเวลาไปคิดแต่จะออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ อย่างล่าสุด คือ สลากขูด หรือหวยขูด ซึ่งเท่ากับหลอกเอาเงินจากประชาชน กลายเป็นเสือนอนกิน ดังนั้น อย่าเอาความเสี่ยงและผลักภาระทั้งหมดไปไว้กับประชาชนและผู้ค้ารายย่อย เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดการแก้ปัญหา ตราบใดที่ยังอยู่ในระบบบริหารจัดการแบบเก่าๆ เป็นพื้นที่ทำมาหากินของนักการเมือง” นายมณเฑียร กล่าว
ด้าน นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวว่า ขณะนี้ คปก. รับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายทั้ง2ฉบับ คือ ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกิจการสลากเพื่อสังคม และร่าง พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมการพัฒนาภาคประชาสังคม แต่ทันทีที่เข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลและรัฐสภาได้ ขั้นตอนจากนั้นทาง คปก. ก็ยินดีสนับสนุนผลักดันเต็มที่ เพราะเห็นด้วยในหลักการเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม เพราะที่ผ่านมาข้อเสียของการออกกฎหมายต่างๆ คือ ไม่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ไม่ศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน เดิมที พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มีโครงสร้างของการบริหารจัดการที่ไม่เป็นธรรม บางมาตรามีไว้เพื่อตอบโจทย์ทางการเมือง การจัดสรรรายได้ต่างๆ สังคมไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ดังนั้น การปฏิรูปกฎหมาย จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส นำไปสู่การจัดสรรที่เป็นประโยชน์ ไม่อยู่ในอำนาจนักการเมือง
“รายได้จำนวนมากจากสำนักงานสลากฯควรนำกลับมาทำประโยชน์ แก้ปัญหา และส่งเสริมความเข้มแข็งในสังคม ขณะเดียวกัน ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่กองสลากจะไปออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพราะถือเป็นการส่งเสริมการเล่นพนัน และการปฏิรูปสลากครั้งนี้ จะสามารถเข้าไปจำกัดอำนาจของคณะกรรมการสลากฯไว้ชัดเจน เพื่อให้เกิดการกลั่นกรองเชิงนโยบายที่รอบคอบ ไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ” นางสุนี กล่าว