กก.สอบวินัย “ศศิธารา” หาข้อมูลเพิ่ม 2 ประเด็นตามใบสั่ง อ.ก.พ.กระทรวง “อภิชาติ” ยืนยันผลการสอบสวนเดิมไม่เปลี่ยน ชี้ หมดหน้าที่แล้ว โยน อ.ก.พ.กระทรวง ตัดสินใจกำหนดโทษเอง
วันนี้ (29 ม.ค.) นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ในฐานะประธานกรรมการสอบวินัยร้ายแรง น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลธิการสภาการศึกษา กรณีเอกสารจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โครงการภายใต้แผนพื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) : ไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหายและส่อว่าจะเกิดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดโครงการดังกล่าวเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) ว่า ตามที่ที่ประชุม อ.ก.พ. สกศ.ทำหน้าที่ อ.ก.พ.กระทรวง ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 21 ม.ค.มอบหมายให้กรรมการสอบสวนฯ ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและสรุปผลรายงาน อ.ก.พ.กระทรวงภายใน 15 วันนั้น ตนได้เรียกประชุมกรรมการสอบสวนฯไปวันนี้เพื่อเตรียมหาข้อมูลเพิ่มใน 2 ประเด็นที่ อ.ก.พ.กระทรวงต้องการ
โดยประเด็นแรก อ.ก.พ.กระทรวง ต้องการให้กรรมการสอบสวนฯประสานไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อขอข้อมูลว่า โดยทั่วไปการเบิกจ่ายเงินราชการจากกรณีการจัดซื้อจัดจ้างนั้นจะต้องใช้เอกสารขั้นต่ำอะไรบ้าง และมีขั้นตอนในการตรวจสอบเอกสารอย่างไร เพราะที่ผ่านามากรรมการสอบสวนฯยึดตามระเบียบว่าจะต้องมีเอกสารอย่างน้อย 5 รายการจึงจะเบิกจ่ายได้ ซึ่งผลการสอบสวนพบว่า เอกสารทั้ง 5 ชิ้นที่ได้จากการอาชีวะนั้นเป็นสำเนาทั้งหมด ไม่มีเอกสารตัวจริง ซึ่งความจริงแล้ว สอศ.จะต้องมีการตั้งกรรมการมาสอบสวนกรณีเอกสารหายก่อน พร้อมกับพิสูจน์ว่าเอกสารที่ทำสนำเนามาเป็นเอกสารที่ถูกต้องไม่มีการตกแต่งเอกสารให้ผิดไปจากเอกสารตัวจริง จึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินได้ แต่ทาง สอศ.ยังไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเลย อย่างไรก็ตามเมื่อมีความเห็นแตกต่างในเรื่องนี้ อ.ก.พ.จึงต้องการให้กรรมการสอบสวนฯสอบถามไปยังคนกลางคือ กระทรวการคลัง ให้ช่วยยืนยันมาว่าเอกสารและขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินมีอะไรบ้างตามระเบียบ ซึ่งในวันนี้ (29 ม.ค.) ได้ทำหนังสือไปยังปลัดกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลางแล้ว แต่ไม่สามารถตอบได้ว่ากรมบัญชีกลางจะให้คำตอบกลับมาภายในกำหนดเวลาสอบสวน 15 วันหรือไม่ หากไม่ทันก็ต้องขอขยายเวลาส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมให้กับ อ.ก.พ.
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่สอง อ.ก.พ.กระทรวง ต้องการให้กรรมการสอบสวนฯ ทำการสอบสวนไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญว่ารายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างที่ปรากฏบนทีโออาร์ที่ประกาศ กับรายละเอียดบนทีโอาร์แนบท้ายสัญญา ซึ่งใช้ในการตรวจรับนั้นมีความแตกต่างหรือไม่ เป็นมูลค่าเท่าใด ขณะนี้กรรมการสอบสวนก็ยังตอบไมไ่ด้ว่า มีความแตกต่างจำนวนเท่าไร แต่จะให้ทางมหาวิทยาลัยที่เป็นคนกลางและเคยจัดซื้ออุปกรณ์ในลักษณะดังกล่าวมาช่วยชี้ให้ความแตกต่างระหว่างทีโออาร์สองฉบับนั้นจะสะท้อนได้ว่า เกิดความเสียหายกับราชการเป็นมูลค่าเท่าไร
“หลังจากได้ข้อมูลครบถ้วนทั้งสองประเด็นแล้วก็จะรายงานให้ อ.ก.พ.กระทรวง รับทราบ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ อ.ก.พ.จะต้องนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับผลการสอบสวนที่กรรมการสอบสวนฯส่งให้ก่อนหน้านี้ และตัดสินโทษ น.ส.ศศิธารา แต่ในส่วนของกรรมการสอบสวนฯนั้นถือว่าหมดหน้าที่แล้วตั้งแต่ส่งผลการสอบให้กับ อ.ก.พ.ฯ และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลการสอบสวนอีก” นายอภิชาติ กล่าว