“ศศิธารา” โอดตกเป็นแพะของเกมการเมืองคดีทุจริตครุภัณฑ์ ชี้ยืดเยื้อกว่า 2 ปี ถูกตราหน้าเป็นคนโกง วอนขอความเป็นธรรมบ้าง มั่นใจการขยายเวลา 15 วันให้คณะกรรมการสอบสวนฯ หาข้อมูลเพิ่มส่งผลดี สะท้อนว่าหลักฐานขาดความถูกต้องแม่นยำ จนกรรมการไม่กล้าตัดสิน เผยล่าสุดแจ้งความพร้อมตั้ง กก.สืบข้อเท็จจริง “นภมณฑล” ทำหน้าที่เลขานุการ ก.พ.อ.สกศ.ที่ผ่านมาในข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการ ลั่นไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่ยึดตามระเบียบราชการ เพราะมีหลักฐานชัด
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ทำหน้าที่ อ.ก.พ.กระทรวง ซึ่งมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา มีวาระการพิจารณาโทษทางวินัย น.ส.ศศิธารา กรณีเอกสารจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โครงการภายใต้แผนพื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) : ไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหายและส่อว่าจะเกิดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดโครงการดังกล่าวเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) โดยที่ประชุมใช้เวลา10 ชั่วโมงก่อนจะมีมติเอกฉันท์ให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กพฐ.ไปสอบสวนเพิ่มเติมว่าการกระทำ น.ส.ศศิธารา สร้างความเสียหายต่อราชการอย่างไร โดยให้เวลาสอบสวนเพิ่มเติมและสรุปผลภายใน 15 วัน ว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตมาแต่ต้นว่าการประชุม อ.ก.พ.สกศ.ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากล ถูกกำหนดให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนทั้งที่อยู่ในช่วงระยะเวลารัฐบาลรักษาการ อีกทั้งการประชุมในวันดังกล่าวองค์ประชุมก็ไม่ครบจำนวน 13 คน มีเพียง 7 คน คือ รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และ ผอ.สำนักของ สกศ.5 คน แต่ขาดผู้แทนจากกรมที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการใน อ.ก.พ.สกศ.และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน คือ การบริหาร กฎหมาย และการจัดการ
น.ส.ศศิธารา กล่าวต่อว่า ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของผู้เป็นเลขานุการการประชุม อ.ก.พ.สกศ.คือ นายนภมณฑล สิบหมื่นเปี่ยม ที่ปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ในด้านการบริหารงานบุคคลแล้ว จึงไม่เป็นไปตามมติที่ประชุม อ.ก.พ.สกศ.เมื่อครั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน อ.ก.พ.สกศ.ครั้งที่ 2/2555 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ซึ่งมีมติรับทราบการตั้งคณะอนุกรรมการสามัญประจำ สกศ.ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำหน้าที่เลขานุการ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมก็ได้รับรองผลการประชุมครั้งนั้น แต่ในการประชุม อ.ก.พ.สกศ.ล่าสุดกลับปรากฏเอกสารวาระการประชุมครั้งดังกล่าว แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาว่าที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้ นายนภมณฑล ทำหน้าที่เลขานุการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการปลอมแปลงเอกสารเกิดขึ้นและแม้ตนจะพยายามโต้แย้งเพื่อขอให้มีการตั้งเลขานุการในการประชุมใหม่แต่ รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ ยืนยันที่จะให้ นายนภมณฑล ทำหน้าที่ดังกล่าวต่อเพราะเห็นว่าดำเนินการมาแต่ต้น ขณะเดียวกัน ตนยังพบว่ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแจ้งเปลี่ยนผู้แทน ก.พ.ที่แจกในที่ประชุมก็มีการถูกเปลี่ยนแปลง ไม่มีสำเนาลายเซ็นของตนที่เซ็นกำกับไว้ในท้ายหนังสือปรากฏเด่นชัด แต่กลับพบเพียงเลือนลาง
“ดิฉันได้ไปแจ้งความเอาผิด นายนภมณฑล ที่ สน.สามเสน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการ โดยได้รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่มีและยืนยันได้ว่าเป็นเอกสารการประชุมที่มีการรับรองอย่างถูกต้องรวมทั้งเอกสารที่สงสัยว่าน่าจะมีการปลอมแปลงส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน ดิฉันจะตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงกรณีเดียวกันกับ นายนภมณฑล และจะสืบหาว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อย่างไร เพราะมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าเอกสารมีการปลอมแปลง หากพบว่ามีมูลก็จะไปสู่ขั้นตอนการสอบสวนวินัย ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การกลั่นแกล้ง นายนภมณฑล เป็นการทำตามขั้นตอนระเบียบราชการ ดิฉันมีความเป็นมืออาชีพและเข้าใจในระบบ ระเบียบเป็นอย่างดี” น.ส.ศศิธารา กล่าวและว่า ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 15 วัน ตนก็จะทำหน้าที่ของตนต่อไป โดยสัปดาห์นี้จะนัดประชุม อ.ก.พ.กรม เพื่อแต่งตั้งกรรมการให้ครบองค์ประชุม เพื่อที่เมื่อมีการเรียกประชุม อ.ก.พ.สกศ.เมื่อใดจะได้มีองค์ประชุมครบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาและตัดสินโทษทางวินัยในขณะที่เป็นรัฐบาลรักษาสามารถทำได้หรือไม่ น.ส.ศศิธารา กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะเป็นการพิจารณาที่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลากร ไม่ใช่การบริหารงานทั่วไป ทั้งจะกลายเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยทำหนังสือ ชี้แจงและแย้งในที่ประชุมแล้วแต่ได้รับการยืนยันที่จะเดินหน้าต่อ ซึ่งในที่สุดเมื่อคณะกรรมการสอบสวนฯ สรุปผลให้ อ.ก.พ.สกศ.พิจารณาตัดสิน ตามขั้นตอนหากผลตัดสินว่าตนมีความผิดก็ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม ก.พ.ใหญ่ ส่วนตนก็ยื่นอุทธรณ์ได้ตามสิทธิแต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องมองย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของการสอบสวนด้วยว่าเป็นไปอย่างชอบธรรมหรือไม่
“อยากจะขอความเป็นธรรมบ้างที่ผ่านมานับแต่เริ่มมีกระบวนการสอบสวนวินัยดิฉันก็ไม่ ได้รับความเป็นธรรมในหลายรูปแบบ อาทิ ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโดยที่ยังไม่มีการสืบหาข้อเท็จจริง การทำหนังสือไปขอเอกสารจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการขอเอกสารข้อมูลแบบ คลุมเครือ เช่น ระบุการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ฯ วงเงิน 1,500 ล้านบาท ทั้งที่วงเงินจริงเพียง 120 ล้านบาท ทำให้หน่วยงานต่างๆ ตอบกลับมาว่าไม่มีเอกสารตามที่ขอไป เป็นต้น ทั้งนี้ มองว่าการหารือในประชุมยาวนาน 10 ชม.และมีมติให้หาข้อมูลเพิ่มเติมอีก 15 วันก็เป็นผลดีกับตัวดิฉันทำให้คิดได้ว่าหากการสอบสวนชอบธรรมมีข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ น่าเชื่อถือให้ อ.ก.พ.สกศ.คงไม่ใช่เวลามากขนาดนี้ แต่คาดว่ากรรมการหลายท่านคงไม่มั่นใจเกรงว่าตัดสินใจใดๆ ไปอาจมีผลทางปกครอง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงหลายฝ่ายรวมถึงในทางการเมือง ดิฉันกลายเป็นเป้าหมายเพราะเป็นผู้บริหารองค์กรหลัก ที่รู้เรื่องของ ศธ.ดีที่สุดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าหากต่อสู้กันในกระบวนการทางเมืองแล้วไม่เอาดิฉันมาเป็นแพะไม่เป็นไร แต่นี่ล่วงเลยไปกว่า 2 ปีกลายเป็นว่าคนก็ตราหน้าหาว่าดิฉันโกงก็ไม่แฟร์ ซึ่งดิฉันพร้อมให้ตรวจสอบทุกอย่าง รวมทั้งลงพื้นที่ไปตรวจสอบครุภัณฑ์ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ตรงตามทีโออาร์ด้วย” น.ส.ศศิธารา กล่าว
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ทำหน้าที่ อ.ก.พ.กระทรวง ซึ่งมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา มีวาระการพิจารณาโทษทางวินัย น.ส.ศศิธารา กรณีเอกสารจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โครงการภายใต้แผนพื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) : ไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหายและส่อว่าจะเกิดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดโครงการดังกล่าวเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) โดยที่ประชุมใช้เวลา10 ชั่วโมงก่อนจะมีมติเอกฉันท์ให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กพฐ.ไปสอบสวนเพิ่มเติมว่าการกระทำ น.ส.ศศิธารา สร้างความเสียหายต่อราชการอย่างไร โดยให้เวลาสอบสวนเพิ่มเติมและสรุปผลภายใน 15 วัน ว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตมาแต่ต้นว่าการประชุม อ.ก.พ.สกศ.ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากล ถูกกำหนดให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนทั้งที่อยู่ในช่วงระยะเวลารัฐบาลรักษาการ อีกทั้งการประชุมในวันดังกล่าวองค์ประชุมก็ไม่ครบจำนวน 13 คน มีเพียง 7 คน คือ รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ ผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และ ผอ.สำนักของ สกศ.5 คน แต่ขาดผู้แทนจากกรมที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการใน อ.ก.พ.สกศ.และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน คือ การบริหาร กฎหมาย และการจัดการ
น.ส.ศศิธารา กล่าวต่อว่า ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของผู้เป็นเลขานุการการประชุม อ.ก.พ.สกศ.คือ นายนภมณฑล สิบหมื่นเปี่ยม ที่ปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ในด้านการบริหารงานบุคคลแล้ว จึงไม่เป็นไปตามมติที่ประชุม อ.ก.พ.สกศ.เมื่อครั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน อ.ก.พ.สกศ.ครั้งที่ 2/2555 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ซึ่งมีมติรับทราบการตั้งคณะอนุกรรมการสามัญประจำ สกศ.ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำหน้าที่เลขานุการ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมก็ได้รับรองผลการประชุมครั้งนั้น แต่ในการประชุม อ.ก.พ.สกศ.ล่าสุดกลับปรากฏเอกสารวาระการประชุมครั้งดังกล่าว แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาว่าที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้ นายนภมณฑล ทำหน้าที่เลขานุการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการปลอมแปลงเอกสารเกิดขึ้นและแม้ตนจะพยายามโต้แย้งเพื่อขอให้มีการตั้งเลขานุการในการประชุมใหม่แต่ รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ ยืนยันที่จะให้ นายนภมณฑล ทำหน้าที่ดังกล่าวต่อเพราะเห็นว่าดำเนินการมาแต่ต้น ขณะเดียวกัน ตนยังพบว่ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแจ้งเปลี่ยนผู้แทน ก.พ.ที่แจกในที่ประชุมก็มีการถูกเปลี่ยนแปลง ไม่มีสำเนาลายเซ็นของตนที่เซ็นกำกับไว้ในท้ายหนังสือปรากฏเด่นชัด แต่กลับพบเพียงเลือนลาง
“ดิฉันได้ไปแจ้งความเอาผิด นายนภมณฑล ที่ สน.สามเสน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ในข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการ โดยได้รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่มีและยืนยันได้ว่าเป็นเอกสารการประชุมที่มีการรับรองอย่างถูกต้องรวมทั้งเอกสารที่สงสัยว่าน่าจะมีการปลอมแปลงส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน ดิฉันจะตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงกรณีเดียวกันกับ นายนภมณฑล และจะสืบหาว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อย่างไร เพราะมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าเอกสารมีการปลอมแปลง หากพบว่ามีมูลก็จะไปสู่ขั้นตอนการสอบสวนวินัย ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การกลั่นแกล้ง นายนภมณฑล เป็นการทำตามขั้นตอนระเบียบราชการ ดิฉันมีความเป็นมืออาชีพและเข้าใจในระบบ ระเบียบเป็นอย่างดี” น.ส.ศศิธารา กล่าวและว่า ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 15 วัน ตนก็จะทำหน้าที่ของตนต่อไป โดยสัปดาห์นี้จะนัดประชุม อ.ก.พ.กรม เพื่อแต่งตั้งกรรมการให้ครบองค์ประชุม เพื่อที่เมื่อมีการเรียกประชุม อ.ก.พ.สกศ.เมื่อใดจะได้มีองค์ประชุมครบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาและตัดสินโทษทางวินัยในขณะที่เป็นรัฐบาลรักษาสามารถทำได้หรือไม่ น.ส.ศศิธารา กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะเป็นการพิจารณาที่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลากร ไม่ใช่การบริหารงานทั่วไป ทั้งจะกลายเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยทำหนังสือ ชี้แจงและแย้งในที่ประชุมแล้วแต่ได้รับการยืนยันที่จะเดินหน้าต่อ ซึ่งในที่สุดเมื่อคณะกรรมการสอบสวนฯ สรุปผลให้ อ.ก.พ.สกศ.พิจารณาตัดสิน ตามขั้นตอนหากผลตัดสินว่าตนมีความผิดก็ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม ก.พ.ใหญ่ ส่วนตนก็ยื่นอุทธรณ์ได้ตามสิทธิแต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องมองย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของการสอบสวนด้วยว่าเป็นไปอย่างชอบธรรมหรือไม่
“อยากจะขอความเป็นธรรมบ้างที่ผ่านมานับแต่เริ่มมีกระบวนการสอบสวนวินัยดิฉันก็ไม่ ได้รับความเป็นธรรมในหลายรูปแบบ อาทิ ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโดยที่ยังไม่มีการสืบหาข้อเท็จจริง การทำหนังสือไปขอเอกสารจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการขอเอกสารข้อมูลแบบ คลุมเครือ เช่น ระบุการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ฯ วงเงิน 1,500 ล้านบาท ทั้งที่วงเงินจริงเพียง 120 ล้านบาท ทำให้หน่วยงานต่างๆ ตอบกลับมาว่าไม่มีเอกสารตามที่ขอไป เป็นต้น ทั้งนี้ มองว่าการหารือในประชุมยาวนาน 10 ชม.และมีมติให้หาข้อมูลเพิ่มเติมอีก 15 วันก็เป็นผลดีกับตัวดิฉันทำให้คิดได้ว่าหากการสอบสวนชอบธรรมมีข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ น่าเชื่อถือให้ อ.ก.พ.สกศ.คงไม่ใช่เวลามากขนาดนี้ แต่คาดว่ากรรมการหลายท่านคงไม่มั่นใจเกรงว่าตัดสินใจใดๆ ไปอาจมีผลทางปกครอง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงหลายฝ่ายรวมถึงในทางการเมือง ดิฉันกลายเป็นเป้าหมายเพราะเป็นผู้บริหารองค์กรหลัก ที่รู้เรื่องของ ศธ.ดีที่สุดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าหากต่อสู้กันในกระบวนการทางเมืองแล้วไม่เอาดิฉันมาเป็นแพะไม่เป็นไร แต่นี่ล่วงเลยไปกว่า 2 ปีกลายเป็นว่าคนก็ตราหน้าหาว่าดิฉันโกงก็ไม่แฟร์ ซึ่งดิฉันพร้อมให้ตรวจสอบทุกอย่าง รวมทั้งลงพื้นที่ไปตรวจสอบครุภัณฑ์ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ตรงตามทีโออาร์ด้วย” น.ส.ศศิธารา กล่าว