xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์แนะ..แนวทางป้องกันต้อกระจก/Health Line สายตรงสุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้อกระจก คือโรคของเลนส์แก้วตาที่มีความขุ่นเกิดขึ้น โดยความขุ่นนี้จะเป็นตัวกั้นไม่ให้แสงผ่านเข้าไปในตา ทำให้แสงแตกกระจายและการมองเห็นลดลง นพ.วิวัฒน์ โกมลสุรเดช จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคกระจกตา และการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ รพ.เจ้าพระยา ระบุว่า เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คนทุกคนล้วนแล้วแต่มีโอกาสในการเป็นเช่นเดียวกัน

“ส่วนใหญ่แล้ว เราทุกคนต้องเป็น ถ้ามีอายุมากขึ้น อายุเฉลี่ย 65 ปีขึ้นไป จะพบ 25 เปอร์เซ็นต์ อายุ 75 ปีขึ้นไป จะพบราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์” นพ.วิวัฒน์ กล่าว และเสริมว่า เด็กๆ ก็สามารถเป็นได้ ตั้งแต่แรกเกิด อันเนื่องมาจากพันธุกรรม หรือคุณแม่เป็นหัดเยอรมันตั้งแต่ตั้งครรภ์ ลูกออกมาก็มีโอกาสเป็นต้อกระจก ขณะที่ในกลุ่มวัยรุ่น หากเกิดอุบัติเหตุหรือโรคที่เกี่ยวกับดวงตาบางอย่าง ก็ทำให้เป็นต้อกระจกได้

“หลักๆ แล้ว ต้อกระจกเกิดจากสาเหตุคือความเสื่อมของร่างกาย เราไม่สามารถหยุดมันได้ ทำได้อย่างเดียวก็คือทำให้มันเสื่อมช้าลง อย่างเช่น ถ้ามีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสื่อมเร็ว เราก็เลี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่จะเป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ทั้งนี้ ทั้งคนสูบและคนที่นั่งอยู่ร่วมด้วยก็มีโอกาสเป็นเท่ากัน เพราะควันบุหรี่ก็เป็นพิษแก่ร่างกายแก่ทั้งผู้สูบและผู้อยู่ใกล้”

นอกจากนี้แล้ว นพ.วิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า การรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ทานผักผลไม้เยอะๆ มีวิตามินมากพอ ก็ทำให้เสื่อมช้าลงได้

“การลดการโดนแสงแดด เพราะแสงแดดแรงๆ ก็จะทำให้เลนส์ในดวงตาเกิดการเสื่อมเร็วได้เช่นกัน อย่างคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือกลางแดด ก็มีโอกาสที่จะเป็นต้อกระจกได้เร็วกว่าคนทั่วไป หรือคนที่เป็นเบาหวาน ซึ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี มีการสวิงขึ้นสวิงลงบ่อยๆ พวกนี้ก็จะเป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น หรือถ้าระดับน้ำตาลขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วเช่นกัน”

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้มีการรักษาด้วยการผ่าตัดเลนส์แก้วตาใหม่ มีความปลอดภัย ดังนั้น ถ้ามีความสงสัยว่าจะเป็นโรคต้อกระจก ควรไปรับการตรวจจากแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าสายตาที่มัวลงนั้นเป็นเพราะต้อกระจก หรือเกิดจากโรคอื่น เช่น ต้อหินเรื้อรัง หรือ โรคของประสาทตา

ขอบคุณข้อมูล : รายการ “Health Line สายตรงสุขภาพ” รายการที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ www.manager.co.th/vdo


ไข 6 คำถามสารพัน "โรคต้อ" ที่คุณควรรู้
ไข 6 คำถามสารพัน "โรคต้อ" ที่คุณควรรู้
โรคเกี่ยวกับ ดวงตา ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักกันดี นอกจากอาการตาบอดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งโรคนั่นคือ โรคต้อตา ซึ่งมีอยู่หลายชนิด แต่เชื่อได้ว่าแม้โรคต้อตาจะคุ้นหูและเป็นที่รู้จักกันมายาวนาน แต่ความรู้เกี่ยวกับโรคเหล่านี้อาจยังไม่ลึกซึ้งนัก และยังมีความเชื่อและความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องอยู่หลายประการ ทั้งนี้ ตาต้อ เป็นคำรวมๆ เรียกโรคตาหลายชนิด ในความเป็นจริง คำว่า ต้อ แปลว่าโรคตาที่ทำให้ตามัว แต่มักใช้เรียกชื่อโรคตาหลายๆ ชนิดว่าต้อ ซึ่งโรคต้อแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกัน และมีเรื่องที่ควรทำความรู้และความเข้าใจ เพื่อรักษาตาของตนเองให้ปลอดภัยจากโรคต้อเหล่านี้มีอยู่ 4 ชนิดคือ 1.โรคต้อลม (Pinguecular) มีลักษณะเป็นเยื่อสีขาวหรือขาวเหลืองบริเวณตาขาวข้างๆ ตาดำ เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด มาเป็นเวลานาน มักทำให้มีอาการเคืองตาง่าย ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด 2.โรคต้อเนื้อ (Pterygium) เป็นโรคที่ต่อเนื่องมาจากโรคต้อลม แต่เยื่อบุตาลามเข้ามาถึงบริเวณกระจกตาดำ (cornea) เป็นลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อสีขาวออกแดงบริเวณกระจกตาด้านหัวตาหรือหางตา เกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้มีอาการเคืองตาและตาแดงบริเวณต้อเนื้อเมื่อถูกสิ่งระคายเคือง ไม่ทำให้ตามัวหรือบอด 3.โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์ตาในลูกตา ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอกหรือควันขาวๆ บัง ส่วนมากมักเป็นจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามอายุ แต่อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดหลังอุบัติเหตุต่อดวงตาได้ มักทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจมองไม่เห็นในที่สุดถ้าไม่ได้รับการรักษา และ 4.โรคต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่มีความดันในลูกตาสูงจากการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตาน้อยผิดปกติ ทำให้ลูกตาแข็งขึ้นจนกระทั่งกดขั้วประสาทตา ทำให้มีการเสียของลานสายตา การมองเห็น จนกระทั่งตาบอดสนิทในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น