“ส่วนใหญ่แล้ว เราทุกคนต้องเป็น ถ้ามีอายุมากขึ้น อายุเฉลี่ย 65 ปีขึ้นไป จะพบ 25 เปอร์เซ็นต์ อายุ 75 ปีขึ้นไป จะพบราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์” นพ.วิวัฒน์ กล่าว และเสริมว่า เด็กๆ ก็สามารถเป็นได้ ตั้งแต่แรกเกิด อันเนื่องมาจากพันธุกรรม หรือคุณแม่เป็นหัดเยอรมันตั้งแต่ตั้งครรภ์ ลูกออกมาก็มีโอกาสเป็นต้อกระจก ขณะที่ในกลุ่มวัยรุ่น หากเกิดอุบัติเหตุหรือโรคที่เกี่ยวกับดวงตาบางอย่าง ก็ทำให้เป็นต้อกระจกได้
“หลักๆ แล้ว ต้อกระจกเกิดจากสาเหตุคือความเสื่อมของร่างกาย เราไม่สามารถหยุดมันได้ ทำได้อย่างเดียวก็คือทำให้มันเสื่อมช้าลง อย่างเช่น ถ้ามีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสื่อมเร็ว เราก็เลี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่จะเป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ทั้งนี้ ทั้งคนสูบและคนที่นั่งอยู่ร่วมด้วยก็มีโอกาสเป็นเท่ากัน เพราะควันบุหรี่ก็เป็นพิษแก่ร่างกายแก่ทั้งผู้สูบและผู้อยู่ใกล้”
นอกจากนี้แล้ว นพ.วิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า การรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ทานผักผลไม้เยอะๆ มีวิตามินมากพอ ก็ทำให้เสื่อมช้าลงได้
“การลดการโดนแสงแดด เพราะแสงแดดแรงๆ ก็จะทำให้เลนส์ในดวงตาเกิดการเสื่อมเร็วได้เช่นกัน อย่างคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือกลางแดด ก็มีโอกาสที่จะเป็นต้อกระจกได้เร็วกว่าคนทั่วไป หรือคนที่เป็นเบาหวาน ซึ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี มีการสวิงขึ้นสวิงลงบ่อยๆ พวกนี้ก็จะเป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น หรือถ้าระดับน้ำตาลขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วเช่นกัน”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้มีการรักษาด้วยการผ่าตัดเลนส์แก้วตาใหม่ มีความปลอดภัย ดังนั้น ถ้ามีความสงสัยว่าจะเป็นโรคต้อกระจก ควรไปรับการตรวจจากแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าสายตาที่มัวลงนั้นเป็นเพราะต้อกระจก หรือเกิดจากโรคอื่น เช่น ต้อหินเรื้อรัง หรือ โรคของประสาทตา