สธ.จ่อเพิ่ม “บารากู่” ในกฎหมายควบคุมยาสูบ ชี้อันตรายจากควันบารากู่เท่ากับสูดควันบุหรี่ทั่วไป 100 มวน ชี้ควันบุหรี่ควันพิษตัวการก่อโรคถุงลมโป่งพอง เผยปัจจุบันคนไทยป่วยถุงลมโป่งพองกว่า 1 แสนราย สาเหตุจากการสูบบุหรี่ ขณะที่ทั่วโลกพบมีผู้ป่วยปีละกว่า 80 ล้านคน เสียชีวิตอันดับที่ 4 ของโลก หรือปีละกว่า 3 ล้านคน ด้าน สธ.ไทยชูยุทธศาสตร์ 3 ลด 3 เพิ่มแก้ปัญหาและสกัดการเพิ่มจำนวนผู้สูบบุหรี่และผู้ป่วยลดถุงลมโป่งพอง
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกและองค์การโรคถุงลมโป่งพองแห่งโลก ได้กำหนดให้วันพุธในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนทุกปี เป็นวันรณรงค์โรคถุงลมโป่งพองโลก (World COPD Day) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายของโรคถุงลมโป่งพอง หรือ โรคซีโอพีดี (COPD : Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ซึ่งเกิดจากการสูดหายใจเอามลพิษในรูปของก๊าซหรือฝุ่น เช่น ควันบุหรี่ และควันจากการเผาไหม้เข้าไป สารพิษจากควันดังกล่าวจะไปทำลายระบบทางเดินหายใจ ทำให้เนื้อเยื่อปอดเสื่อมสภาพ เกิดอาการอักเสบ เป็นโรคที่มีความทุกข์ทรมานและรุนแรงมากที่สุด มักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อเป็นโรคแล้วจะรักษาไม่หายขาด มีอาการคือหายใจยากลำบาก หอบง่าย ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก องค์การอนามัยโลกระบุว่ามีผู้ป่วยทั่วโลกเป็นโรคนี้กว่า 80 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 3 ล้านคน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 4 รองจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเส้นเลือดในสมอง คาดว่าในอีก 7 ปี หรือในปี 2563 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มอีกร้อยละ 30
สำหรับประเทศไทยนั้น สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานมีผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และถุงลมปอดโป่งพองเข้ารับการรักษาที่ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลทุกระดับของกระทรวงสาธารณสุข จาก 46 จังหวัด ระหว่างปี 2550-2554 จำนวนสะสม 99,433 คน สาเหตุร้อยละ 90 เกิดมาจากการสูบบุหรี่ และที่น่าสังเกตพบว่าผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 40 ปี จำนวนเกือบ 5,000 คน จึงกล่าวได้ว่าผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีโอกาสเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ทุกคน ช้าหรือเร็วขึ้นกับจำนวน ระยะเวลาของการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว สธ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ลด 3 เพิ่ม ในปี 2555ถึง 2557 ประกอบด้วย 3 ลด คือ 1.ลดนักสูบรายใหม่ 2.ลดนักสูบรายเก่าในเขตชนบท โดยเฉพาะผู้สูบยาเส้น 3.ลดควันบุหรี่มือสองในที่ทำงาน ที่สาธารณะ และบ้าน ส่วน 3 เพิ่ม ได้แก่ 1.เพิ่มกลไกการป้องกันอุตสาหกรรมยาสูบแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบของรัฐ 2.เพิ่มผู้ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบในระดับพื้นที่ จังหวัด และท้องถิ่น และ 3.เพิ่มนวัตกรรมการควบคุมยาสูบ
นพ.ประดิษฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 ซึ่งพบว่าในปี 2555 มีผู้ใช้บริการกว่า 1 แสนครั้ง ส่วนผลจากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2554 พบว่าประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 53.9 ล้านคน เป็นผู้สูบบุหรี่ 11.5 ล้านคน นอกจากนี้ พบว่าผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่เป็นประจำมีอายุเฉลี่ยน้อยลง และยังมีผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ในตลาดสดและตลาดนัด ในบ้าน และที่ทำงานอีกด้วย
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่าวัยรุ่นไทยหันมาสูบบารากู่กันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าไม่มีอันตราย หรือมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ซิกาแรต เนื่องจากเป็นการเผาไหม้กากผลไม้ ควันมีกลิ่นหอม และควันผ่านกระเปาะน้ำก่อนสูดเข้าสู่ร่างกาย แต่ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ควันบุหรี่ที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูงทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนักและสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน
ขณะนี้ สธ.อยู่ระหว่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ และเพิ่มการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ โดยผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว อยู่ระหว่างการปรับแก้ข้อความตามข้อคิดเห็นของประชาชน คาดว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ในปีหน้าในระหว่างที่รอพระราชบัญญัติฉบับใหม่ ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องงดการอนุญาตการนำเข้า รวมถึงการจำหน่ายสารสกัดนิโคตินในประเทศ ควบคู่กับเครื่องสูบยาชนิดต่างๆ ยกเว้น หมากฝรั่งอดบุหรี่ และแผ่นแปะนิโคตินที่ได้ขึ้นทะเบียนยาเพื่อลดการติดบุหรี่เท่านั้น หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุมโรค โทร.02-580-9264
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกและองค์การโรคถุงลมโป่งพองแห่งโลก ได้กำหนดให้วันพุธในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนทุกปี เป็นวันรณรงค์โรคถุงลมโป่งพองโลก (World COPD Day) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายของโรคถุงลมโป่งพอง หรือ โรคซีโอพีดี (COPD : Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ซึ่งเกิดจากการสูดหายใจเอามลพิษในรูปของก๊าซหรือฝุ่น เช่น ควันบุหรี่ และควันจากการเผาไหม้เข้าไป สารพิษจากควันดังกล่าวจะไปทำลายระบบทางเดินหายใจ ทำให้เนื้อเยื่อปอดเสื่อมสภาพ เกิดอาการอักเสบ เป็นโรคที่มีความทุกข์ทรมานและรุนแรงมากที่สุด มักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อเป็นโรคแล้วจะรักษาไม่หายขาด มีอาการคือหายใจยากลำบาก หอบง่าย ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก องค์การอนามัยโลกระบุว่ามีผู้ป่วยทั่วโลกเป็นโรคนี้กว่า 80 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 3 ล้านคน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 4 รองจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเส้นเลือดในสมอง คาดว่าในอีก 7 ปี หรือในปี 2563 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มอีกร้อยละ 30
สำหรับประเทศไทยนั้น สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานมีผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และถุงลมปอดโป่งพองเข้ารับการรักษาที่ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลทุกระดับของกระทรวงสาธารณสุข จาก 46 จังหวัด ระหว่างปี 2550-2554 จำนวนสะสม 99,433 คน สาเหตุร้อยละ 90 เกิดมาจากการสูบบุหรี่ และที่น่าสังเกตพบว่าผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 40 ปี จำนวนเกือบ 5,000 คน จึงกล่าวได้ว่าผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีโอกาสเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ทุกคน ช้าหรือเร็วขึ้นกับจำนวน ระยะเวลาของการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว สธ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ลด 3 เพิ่ม ในปี 2555ถึง 2557 ประกอบด้วย 3 ลด คือ 1.ลดนักสูบรายใหม่ 2.ลดนักสูบรายเก่าในเขตชนบท โดยเฉพาะผู้สูบยาเส้น 3.ลดควันบุหรี่มือสองในที่ทำงาน ที่สาธารณะ และบ้าน ส่วน 3 เพิ่ม ได้แก่ 1.เพิ่มกลไกการป้องกันอุตสาหกรรมยาสูบแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบของรัฐ 2.เพิ่มผู้ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบในระดับพื้นที่ จังหวัด และท้องถิ่น และ 3.เพิ่มนวัตกรรมการควบคุมยาสูบ
นพ.ประดิษฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 ซึ่งพบว่าในปี 2555 มีผู้ใช้บริการกว่า 1 แสนครั้ง ส่วนผลจากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2554 พบว่าประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 53.9 ล้านคน เป็นผู้สูบบุหรี่ 11.5 ล้านคน นอกจากนี้ พบว่าผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่เป็นประจำมีอายุเฉลี่ยน้อยลง และยังมีผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ในตลาดสดและตลาดนัด ในบ้าน และที่ทำงานอีกด้วย
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่าวัยรุ่นไทยหันมาสูบบารากู่กันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าไม่มีอันตราย หรือมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ซิกาแรต เนื่องจากเป็นการเผาไหม้กากผลไม้ ควันมีกลิ่นหอม และควันผ่านกระเปาะน้ำก่อนสูดเข้าสู่ร่างกาย แต่ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ควันบุหรี่ที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูงทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนักและสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน
ขณะนี้ สธ.อยู่ระหว่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ และเพิ่มการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ โดยผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว อยู่ระหว่างการปรับแก้ข้อความตามข้อคิดเห็นของประชาชน คาดว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ในปีหน้าในระหว่างที่รอพระราชบัญญัติฉบับใหม่ ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องงดการอนุญาตการนำเข้า รวมถึงการจำหน่ายสารสกัดนิโคตินในประเทศ ควบคู่กับเครื่องสูบยาชนิดต่างๆ ยกเว้น หมากฝรั่งอดบุหรี่ และแผ่นแปะนิโคตินที่ได้ขึ้นทะเบียนยาเพื่อลดการติดบุหรี่เท่านั้น หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุมโรค โทร.02-580-9264