กฟผ.เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ หวังเพิ่มกำลังการผลิตเชื่อความต้องการในอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ มั่นใจไม่กระทบสิ่งแวดล้อมขณะที่ผลประเมิน EHIA คืบกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
นายรังสรรค์ อัฐมโนลาภ ผู้ช่วยผู้ว่าการกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวระหว่างนำเจ้าหน้าที่และคณะสื่อมวลชนศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินมันจุง ประเทศมาเลเซีย ว่าจากการมาศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินของมาเลเซียที่มีระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และการดูแลชุมชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีแผนจะก่อสร้างที่ จ.กระบี่ โดยมีกำลังการผลิตวันละ 700 เมกะวัตต์ จะประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งของเราจะมีความทันสมัยมากกว่า เพื่อประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“ที่เราเลือกจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ จ.กระบี่ เนื่องจากมีพื้นที่ติดทะเล ง่ายต่อการขนส่งถ่านหิน อีกทั้งภาคใต้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าวันละ 2,100 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 2,500 เมกะวัตต์ ทำให้ต้องส่งกระแสไฟฟ้าผ่านสายส่งจากภาคกลาง และบางส่วนต้องซื้อมาจากประเทศมาเลเซีย ผมเชื่อว่าในอนาคตความต้องการจะมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ไฟดับทั้งภาคใต้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า” นายรังสรรค์กล่าว
ด้าน นายสมภพ พวงจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม กฟผ.กล่าวว่า สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จ.กระบี่ ขณะนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างทำความเข้าใจกับชุมชน และจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) มีความคืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และอยู่ระหว่างการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของการปรับปรุงท่าเทียบเรือ ส่วนการออกแบบก่อสร้างยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ แต่มีการร่างแผนงานไว้แล้ว ซึ่งต้องผ่านความเห็นของคนในพื้นที่ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงจะสามารถออกแบบอย่างสมบูรณ์ได้ ซึ่งงบประมาณในการก่อสร้างอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยมีกรอบเวลาในการดำเนินงานตามแผน 5 ปี
นายรังสรรค์ อัฐมโนลาภ ผู้ช่วยผู้ว่าการกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวระหว่างนำเจ้าหน้าที่และคณะสื่อมวลชนศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินมันจุง ประเทศมาเลเซีย ว่าจากการมาศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินของมาเลเซียที่มีระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และการดูแลชุมชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีแผนจะก่อสร้างที่ จ.กระบี่ โดยมีกำลังการผลิตวันละ 700 เมกะวัตต์ จะประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งของเราจะมีความทันสมัยมากกว่า เพื่อประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“ที่เราเลือกจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ จ.กระบี่ เนื่องจากมีพื้นที่ติดทะเล ง่ายต่อการขนส่งถ่านหิน อีกทั้งภาคใต้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าวันละ 2,100 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 2,500 เมกะวัตต์ ทำให้ต้องส่งกระแสไฟฟ้าผ่านสายส่งจากภาคกลาง และบางส่วนต้องซื้อมาจากประเทศมาเลเซีย ผมเชื่อว่าในอนาคตความต้องการจะมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ไฟดับทั้งภาคใต้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า” นายรังสรรค์กล่าว
ด้าน นายสมภพ พวงจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม กฟผ.กล่าวว่า สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จ.กระบี่ ขณะนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างทำความเข้าใจกับชุมชน และจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) มีความคืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และอยู่ระหว่างการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของการปรับปรุงท่าเทียบเรือ ส่วนการออกแบบก่อสร้างยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ แต่มีการร่างแผนงานไว้แล้ว ซึ่งต้องผ่านความเห็นของคนในพื้นที่ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงจะสามารถออกแบบอย่างสมบูรณ์ได้ ซึ่งงบประมาณในการก่อสร้างอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยมีกรอบเวลาในการดำเนินงานตามแผน 5 ปี