ภาคประชาสังคมกว่า 2,000 คน เตรียมชุมนุมโดยสงบที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ แสดงพลังเตือนรัฐบาลเจรจา FTA ไทย-อียู อย่างรอบคอบ ห้ามรับข้อเสนอที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ตามที่การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป รอบที่ 2 จะมีขึ้นระหว่าง วันที่ 18-19 ก.ย.นี้ ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน จ.เชียงใหม่นั้น
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์และตัวแทนกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA watch) กล่าวว่า ภาคประชาสังคมไทยจากหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนของเครือข่ายเกษตรทางเลือก กลุ่มเกษตรอินทรีย์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เครือข่ายงดเหล้า เครือข่ายผู้บริโภคและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ซึ่งรวมตัวกันในนามกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA watch) จะมีการนัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังสนับสนุนให้ทีมเจรจาของรัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และขอให้เจรจาอย่างรอบคอบ และต้องไม่ตกลงในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนวงกว้างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“การชุมนุมครั้งนี้จะมีภาคประชาสังคมไทยมาร่วมกว่า 2,000 คน แต่เป็นการมาชุมนุมอย่างสงบ โดยจะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างการเรียนรู้ในเรื่องการค้าเสรีและผลกระทบต่อประชาชน อาทิ การเรียนรู้เรื่องอิสรภาพทางพันธุกรรมผ่านการรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านจากทั่วประเทศ กิจกรรมศิลปะรณรงค์เพื่ออธิปไตยทางพันธุกรรม รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนโยบายรัฐที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แต่ถ้าหากเรายอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปในเรื่องสิทธิบัตรยาก็จะกระทบต่อระบบสุขภาพของประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนให้คนเชียงใหม่ได้เข้ามาร่วมเรียนรู้ ทำความเข้าใจไปด้วยกันระหว่างวันที่ 18-19 กันยายนนี้ ณ บริเวณข่วงประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่” นายนิมิตร์ กล่าว
ด้าน น.ส.กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปที่มีต่อไทยมี 3 เรื่องหลักคือ ต้องเป็นภาคี UPOV 1991, ภาคีสนธิสัญญาบูดาเปสต์ และยอมรับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตนั้นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างรุนแรงและกว้างขวาง เกษตรกรผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อหรือแลกเปลี่ยนจะมีความผิดถึงขั้นจำคุกและต้องจ่ายค่าเสียหายแก่บริษัท และวิสาหกิจชุมชนที่ปรับปรุงพันธุ์พืชจากพันธุ์พืชใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบอาหารของประเทศอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็นการทำลายอธิปไตยทางอาหารของประเทศ
น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่าหากประเทศไทย ยอมให้มีการเจรจาความตกลงการค้าเสรีในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ จะก่อให้เกิด การผูกขาดตลาดอย่างยาวนาน ทำให้ราคายาแพงขึ้น และประเทศชาติต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นมหาศาล ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาได้ รวมทั้งส่งผลกระทบด้านลบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญภายในประเทศ ที่สำคัญคือ ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับบรรษัทยาข้ามชาติเท่านั้น
“ถ้ายอมทริปส์พลัสด้านยา ยอมให้มีการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 27,883 ล้านบาท/ปี และหากยอมปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือ Data Exclusivity จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทย เพิ่มขึ้น 81,356 ล้านบาทต่อปี” น.ส.สุภัทรา กล่าว
ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีความชัดเจนถึงกรอบเจรจาสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ทั้งที่เป็นสินค้าอันตรายต่อสุขภาพ เพราะหากมีการเจรจาและกำหนดให้เป็นสินค้าเสรี ทุกอย่างก็จะเสรี ทั้งการดื่ม การจำหน่าย นักดื่มหน้าใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ปัญหาสุขภาพก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากข้อกังวลดังกล่าว ที่ผ่านมาได้แสดงความห่วงใยเรื่องนี้ไปยังกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าอันตราย ฆ่าคนได้มากกว่าอาวุธ จึงไม่ควรจัดอยู่ในกรอบการเจรจาไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
ภก.สงกรานต์ กล่าวอีกว่า น่ากังวลที่สุด คือ เมื่อเหล้าถูกจัดเป็นสินค้าเสรีจริงๆ จะส่งผลต่อการออกกฏหมายของไทย เหมือนกรณีขยายภาพคำเตือนบนซองบุหรี่จากร้อยละ 55 เป็นร้อยละ 85 แต่กลับถูกธุรกิจบุหรี่ยื่นฟ้อง จนต้องชะลอการประกาศใช้กฎหมายนั้น ก็เป็นสัญญาณว่า หากมีการเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเหล้า หรือบุหรี่ ย่อมมีผลต่อการออกกฎหมาย โดยเฉพาะการห้ามการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อเข้าสู่กรอบการเจรจาเอฟทีเอ ย่อมถูกจัดเป็นสินค้า ประเด็นห้ามโฆษณาก็อาจเข้าข่ายขัดขวางการเปิดเสรีได้อีก ซึ่งหากไม่ยอมก็จะมีการฟ้องร้อง โดยไม่ใช่แค่ธุรกิจกับรัฐบาลไทย แต่จะเป็นระดับประเทศ กลายเป็นการฟ้องร้องในระดับอนุญาโตตุลาการ ทางที่ดีที่สุดควรป้องกันก่อนเกิดปัญหาดีกว่า และเพื่อแสดงจุดยืนในการคัดค้านเรื่องนี้ ภาคประชาชน ทั้งกลุ่ม FTA Watch มูลนิธิชีววิถี องค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และองค์กรงดเหล้าต่างๆ จะมีการรวมตัวกันระหว่างวันที่ 18-19 ก.ย.ที่ลานท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามการเจรจาครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์และตัวแทนกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA watch) กล่าวว่า ภาคประชาสังคมไทยจากหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนของเครือข่ายเกษตรทางเลือก กลุ่มเกษตรอินทรีย์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เครือข่ายงดเหล้า เครือข่ายผู้บริโภคและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ซึ่งรวมตัวกันในนามกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA watch) จะมีการนัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังสนับสนุนให้ทีมเจรจาของรัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และขอให้เจรจาอย่างรอบคอบ และต้องไม่ตกลงในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนวงกว้างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“การชุมนุมครั้งนี้จะมีภาคประชาสังคมไทยมาร่วมกว่า 2,000 คน แต่เป็นการมาชุมนุมอย่างสงบ โดยจะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างการเรียนรู้ในเรื่องการค้าเสรีและผลกระทบต่อประชาชน อาทิ การเรียนรู้เรื่องอิสรภาพทางพันธุกรรมผ่านการรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านจากทั่วประเทศ กิจกรรมศิลปะรณรงค์เพื่ออธิปไตยทางพันธุกรรม รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนโยบายรัฐที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แต่ถ้าหากเรายอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปในเรื่องสิทธิบัตรยาก็จะกระทบต่อระบบสุขภาพของประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนให้คนเชียงใหม่ได้เข้ามาร่วมเรียนรู้ ทำความเข้าใจไปด้วยกันระหว่างวันที่ 18-19 กันยายนนี้ ณ บริเวณข่วงประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่” นายนิมิตร์ กล่าว
ด้าน น.ส.กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปที่มีต่อไทยมี 3 เรื่องหลักคือ ต้องเป็นภาคี UPOV 1991, ภาคีสนธิสัญญาบูดาเปสต์ และยอมรับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตนั้นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างรุนแรงและกว้างขวาง เกษตรกรผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อหรือแลกเปลี่ยนจะมีความผิดถึงขั้นจำคุกและต้องจ่ายค่าเสียหายแก่บริษัท และวิสาหกิจชุมชนที่ปรับปรุงพันธุ์พืชจากพันธุ์พืชใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบอาหารของประเทศอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็นการทำลายอธิปไตยทางอาหารของประเทศ
น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่าหากประเทศไทย ยอมให้มีการเจรจาความตกลงการค้าเสรีในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ จะก่อให้เกิด การผูกขาดตลาดอย่างยาวนาน ทำให้ราคายาแพงขึ้น และประเทศชาติต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นมหาศาล ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาได้ รวมทั้งส่งผลกระทบด้านลบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญภายในประเทศ ที่สำคัญคือ ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับบรรษัทยาข้ามชาติเท่านั้น
“ถ้ายอมทริปส์พลัสด้านยา ยอมให้มีการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 27,883 ล้านบาท/ปี และหากยอมปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือ Data Exclusivity จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทย เพิ่มขึ้น 81,356 ล้านบาทต่อปี” น.ส.สุภัทรา กล่าว
ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีความชัดเจนถึงกรอบเจรจาสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ทั้งที่เป็นสินค้าอันตรายต่อสุขภาพ เพราะหากมีการเจรจาและกำหนดให้เป็นสินค้าเสรี ทุกอย่างก็จะเสรี ทั้งการดื่ม การจำหน่าย นักดื่มหน้าใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ปัญหาสุขภาพก็จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากข้อกังวลดังกล่าว ที่ผ่านมาได้แสดงความห่วงใยเรื่องนี้ไปยังกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าอันตราย ฆ่าคนได้มากกว่าอาวุธ จึงไม่ควรจัดอยู่ในกรอบการเจรจาไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
ภก.สงกรานต์ กล่าวอีกว่า น่ากังวลที่สุด คือ เมื่อเหล้าถูกจัดเป็นสินค้าเสรีจริงๆ จะส่งผลต่อการออกกฏหมายของไทย เหมือนกรณีขยายภาพคำเตือนบนซองบุหรี่จากร้อยละ 55 เป็นร้อยละ 85 แต่กลับถูกธุรกิจบุหรี่ยื่นฟ้อง จนต้องชะลอการประกาศใช้กฎหมายนั้น ก็เป็นสัญญาณว่า หากมีการเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเหล้า หรือบุหรี่ ย่อมมีผลต่อการออกกฎหมาย โดยเฉพาะการห้ามการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อเข้าสู่กรอบการเจรจาเอฟทีเอ ย่อมถูกจัดเป็นสินค้า ประเด็นห้ามโฆษณาก็อาจเข้าข่ายขัดขวางการเปิดเสรีได้อีก ซึ่งหากไม่ยอมก็จะมีการฟ้องร้อง โดยไม่ใช่แค่ธุรกิจกับรัฐบาลไทย แต่จะเป็นระดับประเทศ กลายเป็นการฟ้องร้องในระดับอนุญาโตตุลาการ ทางที่ดีที่สุดควรป้องกันก่อนเกิดปัญหาดีกว่า และเพื่อแสดงจุดยืนในการคัดค้านเรื่องนี้ ภาคประชาชน ทั้งกลุ่ม FTA Watch มูลนิธิชีววิถี องค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และองค์กรงดเหล้าต่างๆ จะมีการรวมตัวกันระหว่างวันที่ 18-19 ก.ย.ที่ลานท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามการเจรจาครั้งนี้อย่างใกล้ชิด