กรมควบคุมโรคเผยยอดกลุ่มเสี่ยงมารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แค่ 1.9 ล้านราย จากเป้าหมาย 3.5 ล้านรายเท่านั้น วอนรีบมาฉีดฟรีก่อนหมดเขต 30 ก.ย.ระบุฉีดแล้วควรรอดูอาการอย่างน้อย 30 นาที มีอาการข้างเคียงหรือไม่ พร้อมแนะ 6 วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอ เอช1เอ็น 1 (H1N1) ชนิดเอ เอช3เอ็น2 (H3N2) และชนิดบี (B) ไว้บริการให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม คือผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี และผู้ป่วยทุกอายุ ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ โรคปอด ปอดอุดกั้น หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ ยังมีนโยบายให้วัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งได้ประมาณการไว้ 3.5 ล้านคนและเตรียมวัคซีนไว้เพียงพอ แต่ขณะนี้มีจำนวนผู้มารับบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ระหว่างวันที่ 27 พ.ค. - 22 ส.ค. 2556 จำนวนประมาณ 1.9 ล้านราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุที่มีโรคเรื้อรังประมาณ 1.1 ล้านราย บุคคลอายุ 65 ปีขึ้นไป ประมาณ 5 แสนราย ที่เหลือเป็นหญิงมีครรภ์ บุคคลโรคอ้วน ผู้พิการทางสมอง ผู้ป่วยโรคทาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี
นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า การให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.ขอให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไปรับบริการฟรี ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเว้นเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไก่หรือไข่ไก่อย่างรุนแรง ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีไข้หรือเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือโรคประจำตัวกำเริบ ควบคุมไม่ได้ ควรเลื่อนการรับวัคซีนไปก่อน หลังการฉีดวัคซีนไม่ควรรีบกลับบ้าน ควรรอเฝ้าสังเกตอาการข้างเคียงในสถานพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที หากมีอาการข้างเคียง ซึ่งจะปรากฏภายใน 2-3 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง หลังฉีด เช่น หายใจไม่สะดวก เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงดัง ลมพิษ ซีดขาว อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะต้องแจ้งแพทย์ทันที
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนสามารถป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้โดย 1.ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเอามือขยี้ตา หรือจับของเข้าปาก รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ 2.อย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ แปรงสีฟัน เป็นต้น สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยควรแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนซักหรือต้มในน้ำเดือน ตากให้แห้ง 3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่นขณะป่วยและควรนอนพักรักษาตัวที่บ้าน 4.สวมหน้ากากอนามัยหรือที่ปิดจมูกเวลาไอจาม 5.รักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอในช่วงอากาศหนาวเย็น และ 6.หากมีอาการไข้หวัดที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ส่วนใหญ่อาการจะหายภายใน 3-5 วัน โดยการนอนพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำมากๆ หรือน้ำผลไม้ น้ำซุป หรืออาจใช้นำเกลือแร่ร่วมด้วย ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ขาดเกลือแร่ เมื่อไข้สูงห้ามอาบน้ำเย็นให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากมีอาการปวดศีรษะ ให้กินยาพาราเซตามอน ในผู้ใหญ่กินครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) วันละ 2-3 ครั้ง ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสจะส่งผลให้มีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากมีอาการหอบหรือแน่นหน้าอกให้พบแพทย์ทันที
วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอ เอช1เอ็น 1 (H1N1) ชนิดเอ เอช3เอ็น2 (H3N2) และชนิดบี (B) ไว้บริการให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม คือผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี และผู้ป่วยทุกอายุ ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ โรคปอด ปอดอุดกั้น หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ ยังมีนโยบายให้วัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งได้ประมาณการไว้ 3.5 ล้านคนและเตรียมวัคซีนไว้เพียงพอ แต่ขณะนี้มีจำนวนผู้มารับบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ระหว่างวันที่ 27 พ.ค. - 22 ส.ค. 2556 จำนวนประมาณ 1.9 ล้านราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุที่มีโรคเรื้อรังประมาณ 1.1 ล้านราย บุคคลอายุ 65 ปีขึ้นไป ประมาณ 5 แสนราย ที่เหลือเป็นหญิงมีครรภ์ บุคคลโรคอ้วน ผู้พิการทางสมอง ผู้ป่วยโรคทาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี
นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า การให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.ขอให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไปรับบริการฟรี ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเว้นเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไก่หรือไข่ไก่อย่างรุนแรง ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีไข้หรือเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือโรคประจำตัวกำเริบ ควบคุมไม่ได้ ควรเลื่อนการรับวัคซีนไปก่อน หลังการฉีดวัคซีนไม่ควรรีบกลับบ้าน ควรรอเฝ้าสังเกตอาการข้างเคียงในสถานพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที หากมีอาการข้างเคียง ซึ่งจะปรากฏภายใน 2-3 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง หลังฉีด เช่น หายใจไม่สะดวก เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงดัง ลมพิษ ซีดขาว อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะต้องแจ้งแพทย์ทันที
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนสามารถป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้โดย 1.ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเอามือขยี้ตา หรือจับของเข้าปาก รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ 2.อย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ แปรงสีฟัน เป็นต้น สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยควรแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนซักหรือต้มในน้ำเดือน ตากให้แห้ง 3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่นขณะป่วยและควรนอนพักรักษาตัวที่บ้าน 4.สวมหน้ากากอนามัยหรือที่ปิดจมูกเวลาไอจาม 5.รักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอในช่วงอากาศหนาวเย็น และ 6.หากมีอาการไข้หวัดที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ส่วนใหญ่อาการจะหายภายใน 3-5 วัน โดยการนอนพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำมากๆ หรือน้ำผลไม้ น้ำซุป หรืออาจใช้นำเกลือแร่ร่วมด้วย ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ขาดเกลือแร่ เมื่อไข้สูงห้ามอาบน้ำเย็นให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากมีอาการปวดศีรษะ ให้กินยาพาราเซตามอน ในผู้ใหญ่กินครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) วันละ 2-3 ครั้ง ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสจะส่งผลให้มีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากมีอาการหอบหรือแน่นหน้าอกให้พบแพทย์ทันที