ประชุมปฏิรูปนัดแรก “จาตุรนต์” ชูธงเพิ่ม 3 ด้านทั้งการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และด้านภาษา ระบุที่ประชุมเห็นพ้องถึงเวลาต้องปรับระบบคัดเด็กเข้าอุดมศึกษา เน้นความเท่าเทียม ลดภาระย้ำหากปรับแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี
วันนี้ (18 ส.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมสัมมนาการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ : ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน มี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและมีผู้บริหาร ศธ. และนักวิชาการด้านการศึกษาเข้าร่วม
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้จะต้องตั้งคำถามก่อนว่าต้องการวางตำแหน่งของประเทศไทยไว้ตรงไหนของอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่นๆ พัฒนาคนไปไกลถึงไหนแล้วแต่คุณภาพของคนไทยยังอยู่ในระดับคะแนนเฉลี่ยแค่ 30-40% เพราะฉะนั้น ต้องมาวางตำแหน่งประเทศไทยให้เหมาะสม และสื่อสารให้เข้าใจกันทั้งประเทศจึงจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ อีกทั้ง การปฏิรูปการเรียนรู้โดยยึดคะแนนพิซ่าเป็นเกณฑ์นั้น จริงๆ แล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษา อย่างไต้หวัน ฟินแลนด์ หรือฮ่องกง นั้นไม่ได้ยึดผลการประเมินพิซ่าเป็นหลักแต่ใช้วิธีคัดคนที่เก่งที่สุดในประเทศ 12% มาเป็นครู ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงไทยใช้คะแนนพิซ่าเป็นตัวนำในการพัฒนาการจัดการศึกษา เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรจะรวบทั้งสองอย่างมารวมกัน คือ ให้ความสำคัญทั้งการไต่อันดับพิซ่า และการปฏิรูปการเรียนรู้
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรแค่ 12% ที่คิดนอกกรอบเป็นและเป็นกำลังสำคัญของประเทศ อีก 63% คิดเป็นแต่ทำอะไรไม่ได้เป็นผู้ตาม และอีก 25% คิดไม่เป็นทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภาระสำคัญก็คือจะต้องพัฒนาคนใน 2 กลุ่มให้ได้” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการปรับหลักสูตรนั้นถือว่ามาถูกทางแล้วแต่ยังมีประเด็นสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมของครูและผู้บริหาร เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในการปฏิรูปการศึกษาอยู่ที่ ครู จะต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนวิธีสอนของครูไทยให้ได้ ขณะที่ ต้องยอมรับให้ได้ว่าในระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง (แอดมิชชัน) หรือโควตา และรับตรง เวลานี้เป็นระบบการแย่งเด็กและดึงเงินในกระเป๋าจากผู้ปกครอง ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยมีอิสระมากทั้งที่ความจริงแล้วควรจะใช้อำนาจรัฐโดยเฉพาะกลไกของงบประมาณมาเป็นเครื่องมือกำกับดูแล
ด้าน นายประวิต เอราวรรณ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และประธานที่ประชุมคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย กลุ่ม 16 สถาบันเก่าแก่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะศึกษาฯ มมส.ได้ทำการวิจัยมุมมอง ผลกระทบและผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากระบบการศึกษาในปัจจุบันให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยสอบถามนักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ผู้ปกครอง ครูผู้สอน จำนวน 33,000 คน พบว่า ครูและผู้บริหารมีความพึงพอใจกับระบบการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ใช้ในปัจจุบัน ขณะที่นักเรียนและผู้ปกครองยังไม่พอใจ
ทั้งนี้ ยังศึกษาถึงรากฐานที่สำคัญของปัญหา พบว่า นักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมให้รักการอ่าน พออ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำให้การเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปมีปัญหา และกลายเป็นทุกข์ของนักเรียน โดยพบว่านักเรียนที่จบระดับประถมศึกษาและเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา มีปัญหาเรื่องการอ่าน 12.6% สังกัดสำนักงานส่งเสริมการสึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศรับ (กศน.) มีปัญหาเรื่องการอ่าน 5.37% นอกจากนั้น ยังพบว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับกิจกรรมในเรื่องการอ่าน การเขียน การวิเคราะห์ แต่ยังมุ่งในเชิงของการแข่งขันที่พบว่าไม่มีนัยยะสำคัญกับเด็กโดยรวม แต่มีนัยยะสำคัญกับเด็กบางคนเท่านั้น
“แนวทางแก้ปัญหา ต้องให้ความสำคัญและฝึกเด็กให้รักการอ่าน และไม่ใช่แค่อ่านออกเท่านั้น แต่ต้องอ่านและมีความเข้าใจตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับป.3 รวมถึงจะต้องฝึกให้เขารู้จักตัวเอง พร้อมเรียนรู้เผชิญปัญหา รู้จักค้นหาความรู้ใหม่ๆ และวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้จากปัญหา” นายประวิต กล่าว
ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นค่อนข้างสอดคล้องกันว่า ผลสัมฤทธิ์ในทักษะต่างๆ ของนักเรียน ทั้งความสามารถในการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ และความสามารถในการอ่านทักษะทางภาษา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงฟันธงได้ว่าเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ คือการเพิ่มความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเพิ่มความสามารถทางภาษา และความสามารถในการคิดคำนวณ ซึ่งทั้ง 3 ทักษะนี้ เป็นวิชาพื้นฐานสำหรับการประเมินพิซ่า เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องการไต่อันดับการประเมินพิซ่า กับเป้าหมายการปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเป้าหมายของการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้ง 3 เรื่องจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งระบบ เชื่อมโยงสู่การปรับหลักสูตร การทดสอบประเมินผลให้สอดคล้องกันด้วย ส่วนเรื่องการสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ที่ประชุมเห็นสอดคล้องกันว่ามีความจำเป็นจะต้องปรับ และต้องเป็นระบบที่มีหลักประกันว่า จะสามารถคัดเลือกเด็กที่สามารถเรียนได้จริงๆ การสอบจะต้องมีความเท่าเทียม และต้องไม่กระทบกับการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม ส่วนข้อเสนอที่ให้นำกลไกของงบประมาณมาใช้กำกับมหาวิทยาลัยถือเป็นแนวทางที่ดี แต่อาจจะไม่ง่ายนัก แต่จะให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ฯลฯ จะต้องร่วมกันคิด
"สุดท้ายระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยควรจะเป็นระบบเดียวกัน และลดภาระการสอบของนักเรียน และต้องไม่เป็นระบบที่ลดความสนใจในห้องเรียนของเด็ก ผมประกาศมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องปรับ เปลี่ยน และจากการพูดคุยวันนี้ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่าไม่เปลี่ยนไม่ได้ ไม่เปลี่ยนจะเกิดความเสียหายเชื่อว่าน่าจะมีการพูดคุยกันและนำมาสู่ข้อสรุป แต่จะต้องแจ้งให้นักเรียนได้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี” นายจาตุรนต์ กล่าว
วันนี้ (18 ส.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมสัมมนาการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ : ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน มี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและมีผู้บริหาร ศธ. และนักวิชาการด้านการศึกษาเข้าร่วม
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้จะต้องตั้งคำถามก่อนว่าต้องการวางตำแหน่งของประเทศไทยไว้ตรงไหนของอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่นๆ พัฒนาคนไปไกลถึงไหนแล้วแต่คุณภาพของคนไทยยังอยู่ในระดับคะแนนเฉลี่ยแค่ 30-40% เพราะฉะนั้น ต้องมาวางตำแหน่งประเทศไทยให้เหมาะสม และสื่อสารให้เข้าใจกันทั้งประเทศจึงจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ อีกทั้ง การปฏิรูปการเรียนรู้โดยยึดคะแนนพิซ่าเป็นเกณฑ์นั้น จริงๆ แล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษา อย่างไต้หวัน ฟินแลนด์ หรือฮ่องกง นั้นไม่ได้ยึดผลการประเมินพิซ่าเป็นหลักแต่ใช้วิธีคัดคนที่เก่งที่สุดในประเทศ 12% มาเป็นครู ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงไทยใช้คะแนนพิซ่าเป็นตัวนำในการพัฒนาการจัดการศึกษา เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรจะรวบทั้งสองอย่างมารวมกัน คือ ให้ความสำคัญทั้งการไต่อันดับพิซ่า และการปฏิรูปการเรียนรู้
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรแค่ 12% ที่คิดนอกกรอบเป็นและเป็นกำลังสำคัญของประเทศ อีก 63% คิดเป็นแต่ทำอะไรไม่ได้เป็นผู้ตาม และอีก 25% คิดไม่เป็นทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภาระสำคัญก็คือจะต้องพัฒนาคนใน 2 กลุ่มให้ได้” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการปรับหลักสูตรนั้นถือว่ามาถูกทางแล้วแต่ยังมีประเด็นสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมของครูและผู้บริหาร เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในการปฏิรูปการศึกษาอยู่ที่ ครู จะต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนวิธีสอนของครูไทยให้ได้ ขณะที่ ต้องยอมรับให้ได้ว่าในระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง (แอดมิชชัน) หรือโควตา และรับตรง เวลานี้เป็นระบบการแย่งเด็กและดึงเงินในกระเป๋าจากผู้ปกครอง ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยมีอิสระมากทั้งที่ความจริงแล้วควรจะใช้อำนาจรัฐโดยเฉพาะกลไกของงบประมาณมาเป็นเครื่องมือกำกับดูแล
ด้าน นายประวิต เอราวรรณ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และประธานที่ประชุมคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย กลุ่ม 16 สถาบันเก่าแก่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะศึกษาฯ มมส.ได้ทำการวิจัยมุมมอง ผลกระทบและผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากระบบการศึกษาในปัจจุบันให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยสอบถามนักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ผู้ปกครอง ครูผู้สอน จำนวน 33,000 คน พบว่า ครูและผู้บริหารมีความพึงพอใจกับระบบการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ใช้ในปัจจุบัน ขณะที่นักเรียนและผู้ปกครองยังไม่พอใจ
ทั้งนี้ ยังศึกษาถึงรากฐานที่สำคัญของปัญหา พบว่า นักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมให้รักการอ่าน พออ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำให้การเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปมีปัญหา และกลายเป็นทุกข์ของนักเรียน โดยพบว่านักเรียนที่จบระดับประถมศึกษาและเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา มีปัญหาเรื่องการอ่าน 12.6% สังกัดสำนักงานส่งเสริมการสึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศรับ (กศน.) มีปัญหาเรื่องการอ่าน 5.37% นอกจากนั้น ยังพบว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับกิจกรรมในเรื่องการอ่าน การเขียน การวิเคราะห์ แต่ยังมุ่งในเชิงของการแข่งขันที่พบว่าไม่มีนัยยะสำคัญกับเด็กโดยรวม แต่มีนัยยะสำคัญกับเด็กบางคนเท่านั้น
“แนวทางแก้ปัญหา ต้องให้ความสำคัญและฝึกเด็กให้รักการอ่าน และไม่ใช่แค่อ่านออกเท่านั้น แต่ต้องอ่านและมีความเข้าใจตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับป.3 รวมถึงจะต้องฝึกให้เขารู้จักตัวเอง พร้อมเรียนรู้เผชิญปัญหา รู้จักค้นหาความรู้ใหม่ๆ และวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้จากปัญหา” นายประวิต กล่าว
ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นค่อนข้างสอดคล้องกันว่า ผลสัมฤทธิ์ในทักษะต่างๆ ของนักเรียน ทั้งความสามารถในการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ และความสามารถในการอ่านทักษะทางภาษา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงฟันธงได้ว่าเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ คือการเพิ่มความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเพิ่มความสามารถทางภาษา และความสามารถในการคิดคำนวณ ซึ่งทั้ง 3 ทักษะนี้ เป็นวิชาพื้นฐานสำหรับการประเมินพิซ่า เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องการไต่อันดับการประเมินพิซ่า กับเป้าหมายการปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเป้าหมายของการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้ง 3 เรื่องจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งระบบ เชื่อมโยงสู่การปรับหลักสูตร การทดสอบประเมินผลให้สอดคล้องกันด้วย ส่วนเรื่องการสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ที่ประชุมเห็นสอดคล้องกันว่ามีความจำเป็นจะต้องปรับ และต้องเป็นระบบที่มีหลักประกันว่า จะสามารถคัดเลือกเด็กที่สามารถเรียนได้จริงๆ การสอบจะต้องมีความเท่าเทียม และต้องไม่กระทบกับการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม ส่วนข้อเสนอที่ให้นำกลไกของงบประมาณมาใช้กำกับมหาวิทยาลัยถือเป็นแนวทางที่ดี แต่อาจจะไม่ง่ายนัก แต่จะให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ฯลฯ จะต้องร่วมกันคิด
"สุดท้ายระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยควรจะเป็นระบบเดียวกัน และลดภาระการสอบของนักเรียน และต้องไม่เป็นระบบที่ลดความสนใจในห้องเรียนของเด็ก ผมประกาศมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องปรับ เปลี่ยน และจากการพูดคุยวันนี้ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่าไม่เปลี่ยนไม่ได้ ไม่เปลี่ยนจะเกิดความเสียหายเชื่อว่าน่าจะมีการพูดคุยกันและนำมาสู่ข้อสรุป แต่จะต้องแจ้งให้นักเรียนได้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี” นายจาตุรนต์ กล่าว