รัฐบาลออสเตรเลียประกาศขึ้นภาษียาสูบอีก 12.5% ระหว่าง พ.ศ.2559-2560 เพื่อปรับเพิ่มตามการเปลี่ยนแปลงค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มทุก 6 เดือน พร้อมนำไปใช้เป็นงบประมาณรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือดสมอง
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า โดยรัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศเป็นนโยบายก่อนหน้านี้ ที่จะลดความสูญเสียจากการสูบบุหรี่ด้วย 3 มาตรการหลักคือ การขึ้นภาษี การออกกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ และการเตือนพิษภัยยาสูบบนซองบุหรี่ กับการรณรงค์ผ่านสื่อหลัก เช่น ทางทีวี ทั้งนี้ ชาวออสเตรเลียเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ ปีละ 15,000 คน เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ รัฐบาลออสเตรเลียคาดหวังว่าการขึ้นภาษีนี้จะลดจำนวนวัยรุ่นที่จะสูบบุหรี่ ในแต่ละปี ออสเตรเลียมีจำนวนผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลนับรวมกันเป็นจำนวน 750,000 วัน คิดเป็นค่าใช้จ่าย 31 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือ 9 แสน 3 หมื่นล้านบาทต่อปี การขึ้นภาษีอีก 12.5% จะทำให้รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก เป็นจำนวน 5.3 พันล้านเหรียญ หรือหนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าล้านบาท โดยการขึ้นภาษีจะเริ่มวันที่ 1 ธันวาคม 2556
ศ.นพ.ประกิต กล่าวอีกว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลายอย่าง ตั้งแต่การทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งและโรคเส้นเลือดสมอง ทำให้เยาวชนติดบุหรี่น้อยลง และทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลออสเตรเลียใช้งบประมาณในการรักษาโรคมะเร็งสำหรับปี 226.4 ล้านเหรียญ หรือ 6,792 ล้านบาท ปัจจุบันนี้ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่เก็บภาษีบุหรี่สูงสุด โดยราคาขายปลีกบุหรี่ยี่สิบมวนซองละ 15 เหรียญ
ศ.นพ.ประกิต กล่าวด้วยว่า ออสเตรเลียไม่มีปัญหาบุหรี่มวนเอง และไม่มีการแบ่งซองขายบุหรี่เป็นมวนๆ ทำให้สามารถขึ้นภาษีเพื่อทำให้คนสูบบุหรี่น้อยลงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่มีผู้สูบบุหรี่ยาเส้นสี่ล้านกว่าคน และผู้สูบบุหรี่ซองที่ผลิตจากโรงงาน 5 ล้านคน ครึ่งหนึ่งซื้อบุหรี่ที่แบ่งซองขาย
“การสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ซองใช้เงิน 586 บาทต่อเดือน เปรียบเทียบกับผู้ซื้อบุหรี่ยาเส้นมวนเองที่ใช้เงินเพียง 37.5 บาทต่อเดือน กระทรวงการคลังจึงต้องขึ้นภาษีบุหรี่ยาเส้นเป็นระยะๆ เพื่อให้ยาเส้นมีราคาแพงขึ้น มิฉะนั้นการสูบบุหรี่ของคนไทยยากที่จะลดลง” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า โดยรัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศเป็นนโยบายก่อนหน้านี้ ที่จะลดความสูญเสียจากการสูบบุหรี่ด้วย 3 มาตรการหลักคือ การขึ้นภาษี การออกกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ และการเตือนพิษภัยยาสูบบนซองบุหรี่ กับการรณรงค์ผ่านสื่อหลัก เช่น ทางทีวี ทั้งนี้ ชาวออสเตรเลียเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ ปีละ 15,000 คน เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ รัฐบาลออสเตรเลียคาดหวังว่าการขึ้นภาษีนี้จะลดจำนวนวัยรุ่นที่จะสูบบุหรี่ ในแต่ละปี ออสเตรเลียมีจำนวนผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลนับรวมกันเป็นจำนวน 750,000 วัน คิดเป็นค่าใช้จ่าย 31 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือ 9 แสน 3 หมื่นล้านบาทต่อปี การขึ้นภาษีอีก 12.5% จะทำให้รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก เป็นจำนวน 5.3 พันล้านเหรียญ หรือหนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าล้านบาท โดยการขึ้นภาษีจะเริ่มวันที่ 1 ธันวาคม 2556
ศ.นพ.ประกิต กล่าวอีกว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลายอย่าง ตั้งแต่การทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งและโรคเส้นเลือดสมอง ทำให้เยาวชนติดบุหรี่น้อยลง และทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลออสเตรเลียใช้งบประมาณในการรักษาโรคมะเร็งสำหรับปี 226.4 ล้านเหรียญ หรือ 6,792 ล้านบาท ปัจจุบันนี้ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่เก็บภาษีบุหรี่สูงสุด โดยราคาขายปลีกบุหรี่ยี่สิบมวนซองละ 15 เหรียญ
ศ.นพ.ประกิต กล่าวด้วยว่า ออสเตรเลียไม่มีปัญหาบุหรี่มวนเอง และไม่มีการแบ่งซองขายบุหรี่เป็นมวนๆ ทำให้สามารถขึ้นภาษีเพื่อทำให้คนสูบบุหรี่น้อยลงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่มีผู้สูบบุหรี่ยาเส้นสี่ล้านกว่าคน และผู้สูบบุหรี่ซองที่ผลิตจากโรงงาน 5 ล้านคน ครึ่งหนึ่งซื้อบุหรี่ที่แบ่งซองขาย
“การสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ซองใช้เงิน 586 บาทต่อเดือน เปรียบเทียบกับผู้ซื้อบุหรี่ยาเส้นมวนเองที่ใช้เงินเพียง 37.5 บาทต่อเดือน กระทรวงการคลังจึงต้องขึ้นภาษีบุหรี่ยาเส้นเป็นระยะๆ เพื่อให้ยาเส้นมีราคาแพงขึ้น มิฉะนั้นการสูบบุหรี่ของคนไทยยากที่จะลดลง” ศ.นพ.ประกิต กล่าว