xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการติง สธ.รับลูกเตะถ่วง ก.อุตฯแบนแร่ใยหิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิชาการติง สธ.รับลูก ก.อุตฯ ศึกษาผลกระทบแร่ใยหินว่าอันตรายหรือไม่ ทั้งที่เคยประกาศเมื่อปี 2549 แล้วว่าเป็นอันตรายแน่นอน ชี้เตะถ่วงให้การแบนแร่ใยหินช้าออกไปอีก หลังจาก ก.อุตฯ ยื้อการทำวิจัยมาเกือบ 2 ปี ย้ำหาก ครม.เห็นชอบแผนยกเลิกแร่ใยหิน 5 ปี อาจส่งผลกระทบการส่งออกหลังเปิดเออีซี
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
วันนี้ (28 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่โรงแรมเอเชีย ราชเทวี กรุงเทพฯ รศ.พญ.พิชญา พรรคทองสุข คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวภายหลังงานเสวนา “รัฐบาลยิ่งลักษณ์กับสังคมไทยไร้แร่ใยหิน” ว่า การยกเลิกแร่ใยหินตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2554 เรื่องมาตรการสังคมไทยไร้แร่ใยหิน ขณะนี้ถือว่าล่าช้ามาก เพราะกว่าที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการศึกษาอันตรายที่เกิดจากแร่ใยหินก็ใช้เวลานานเกือบ 2 ปี โดยครั้งแรกได้มีการว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชศึกษาแทน ซึ่งผลการศึกษาก็ออกมาว่าแร่ใยหินเป็นอันตราย ควรมีการเลิกใช้ใน 2 ระยะ คือ เลิกภายในระยะเวลา 2 ปี และมากกว่า 2 ปี แต่สุดท้ายกลับมีการโยนเรื่องมาให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำการศึกษาต่อว่า แร่ใยหินเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจริงหรือไม่

การย้อนกลับมาถาม สธ.เช่นนี้ เหมือนการกลัดกระดุมผิดเม็ด เพราะตั้งแต่ปี 2549 นพ.มงคล ณ สงขลา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด สธ.ก็ได้มีการออกมาประกาศกำจัดแร่ใยหิน เพราะอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ จึงไม่ควรกลับมาถาม สธ.ซ้ำอีกว่าเป็นอันตรายหรือไม่ และที่น่าแปลกใจคือ สธ.ก็รับลูกกลับมาตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเรื่องนี้” รศ.พญ.พิชญา กล่าว

รศ.พญ.พิชญา กล่าวอีกว่า ในวงประชุมคณะกรรมการศึกษาผลกระทบแร่ใยหินของ สธ.มีการประชุมมาแล้ว 2 ครั้ง โดยทั้ง 2 ครั้งที่ประชุมมีความเห้นตรงกันว่า แร่ใยหินเป็นอันตรายจริง แต่การประชุมครั้งที่ 3 นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ.ซึ่งเป็นประธาน คกก.ศึกษาฯ ได้ยกเลิกการประชุม โดยให้เหตุผลว่าอ่านเอกสารไม่ทัน แต่กลับมีการให้ข่าวภายหลังว่าที่ประชุมมีมติว่าแร่ใยหินสีขาวไม่มีอันตราย โดย สธ.จะหามาตรการเพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับแร่ใยหินได้อย่างปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่มติในที่ประชุมเลย

รศ.พญ.พิชญา กล่าวด้วยว่า คกก.ศึกษาฯ จะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 29 ก.ค.หาก สธ.เร่งดำเนินการคาดว่าผลการศึกษาจะสามารถเข้า ครม.ได้เร็วที่สุดในวันที่ 30 ก.ค.แต่หากช้าสุดก็อาจจะเป็นวัน 6 ส.ค.ทั้งนี้ หาก ครม.มีมติเห็นด้วยตามแผนที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคือ ลดและเลิกใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบจำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ โดยมีแนวทางในการเลิก 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม 2 ปี และกลุ่ม 5 ปี นั้น จะเท่ากับว่าเป็นการยืดเวลาไปจนถึงปี 2561 ซึ่งเป็นปีหลังเปิดประชาคมอาเซียน ซึ่งหลายประเทศในภูมิภาคนี้ได้ยกเลิกการนำเข้าและใช้แร่ใยหินแล้ว อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ หากไทยยังคงไม่ยกเลิกก็อาจจะมีผลกระทบต่อการส่งออกวัสดุที่ผลิตจากแร่ใยหิน

นางอรพรรณ ศรีสุขวัฒนา รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ที่ ครม.มีมติให้ทำการศึกษาผลกระทบก็เพื่อหาแนวทางวิธีป้องกัน ไม่ใช่ศึกษาว่าควรยกเลิกใช้แร่ใยหินหรือไม่ ซึ่งการประชุมของ คกก.ศึกษาผลกระทบแร่ใยหินของ สธ.กำลังหลงทิศทางในเรื่องนี้ ทั้งที่มติ ครม.ก็ชัดเจนว่าให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน สธ.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลด้านสุขภาพของประชาชนไม่ควรที่จะรออีกต่อไป เพราะผลกระทบชัดเจนว่าเป็นอันตรายแน่นอน แต่กลับบอกว่าผู้ป่วยจากแร่ใยหินของไทยยังมีน้อย จะต้องรอให้มีผู้ป่วยตายก่อน หรืออย่างไรจึงจะฟันธงว่าเป็นอันตรายจริง ที่สำคัญยังมีการอ้างว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อแร่ใยหินมีเฉพาะคนงาน แต่ผู้บริโภคไม่ได้รับผลกระทบ ตรงนี้ก็ไม่จริง เพราะต่างประเทศมีหลักฐานตรงนี้ทั้งหมดว่าเป็นอันตรายต่อประชาชน เพราะอย่างการทุบตึกก็มีโอกาสที่จะได้รับฝุ่นละอองจากแร่ใยหิน หรือแม้แต่ขยะที่เกิดจากการทุบทำลายตึกก็ถือว่าเป็นขยะที่มีสารอันตราย และประเด็นสำคัญคือประเทศไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมดูแลเรื่องนี้อย่างปลอดภัย

ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารแผนฯ คณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การต่อสู้เพื่อยกเลิกการใช้แร่ใยหินของภาคประชาชนจะเข้มแข็งมาก โดยมี 3 ยุทธศาสตร์คือ 1.ทำงานด้านวิชาการอย่างแข็งขัน 2.ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และ 3.ขจัดกวาดล้างพิษภัยแร่ใยหินให้ออกไปจากสังคมชุมชน อย่างที่อิตาลีก็มีผู้เสียหายหลายพันคนร่วมต่อสู้เป็นโจทย์ร่วมกัน สุดท้ายศาลก็ตัดสินจำคุกผู้บริหารของบริษัทซึ่งต่างประเทศ 16 ปี เป็นต้น หรืออย่างเดนมาร์กที่สามารถยกเลิกใช้ได้ตั้งแต่ปี 2529 แต่พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรคมะเร็งปอดจะยังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และสูงสุดถึงปี 2558 จึงจะลดลง


กำลังโหลดความคิดเห็น