“นักวิจัยออสซี” เผยเปิดช่องบริษัทน้ำเมาเป็นสปอนเซอร์วงการกีฬา มีโอกาสฉุดนักกีฬาดื่มเองถึง 67% แฟนกีฬาวัยโจ๋ 20% อึ้ง! เกินครึ่งสปอนเซอร์งานกีฬาเป็นกลุ่มธุรกิจน้ำเมา แนะไทยใช้มาตรการภาษีพัฒนาวงการกีฬาโดยตรง เลี่ยงสปอนเซอร์ทุนหนัก
วันนี้ (28 ก.ค.) ที่สำนักงานพัฒนานโยบายระหว่างประเทศ (International Health Policy Program) ในเวทีเสวนา“ทุนอุปถัมภ์และการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวงการกีฬา” จัดโดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) โดยมีผู้สนใจเข้าร่วม อาทิ เครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
ดร.เคอร์รี่ โอบราน ผู้อำนวยการด้านหน่วยวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า จากการวิจัยสปอนเซอร์ชิปที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตัวนักกีฬาและทีมกีฬา โดยศึกษาในประเทศออสเตรเลียในช่วง 6 เดือน ม.ค.-มิ.ย.พบว่า ออสเตรเลียมีนักกีฬาที่มีความรู้สึกอยากตอบแทนแบรนด์ที่สนับสนุน และที่น่าตกใจคือนักกีฬาที่ได้รับการสนับสนุนมีโอกาสที่จะดื่มยี่ห้อนั้นประมาณ 67% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุน จากการศึกษาพบว่า เยาวชน อายุ 12 ปี ที่ดูกีฬามีความสัมพันธ์กับการดื่ม โดยเด็กกลุ่มดังกล่าวมีการดื่มเบียร์เพิ่มขึ้น 20% นอกจากนี้ การสนับสนุนกีฬาของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังส่งผลทำให้การฝังลึกของความเชื่อในการเชื่อมระหว่างกีฬาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อกล่าวถึงกีฬาจะคิดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทันที นอกจากนี้ยังพบว่าเกินครึ่ง หรือ 60-80% ธุรกิจแอลกอฮอล์จะทุ่มทุนไปกับการโฆษณา
“เยาวชนในปัจจุบันมีความเสี่ยงในการเปิดรับโฆษณาแอลกอฮอล์ รวมถึงการสนับสนุนจากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากหลักฐานทางวิชาการชี้ให้เห็นว่า การเปิดรับโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสนับสนุนกีฬาจากอุตสาหกรรมสุราจะส่งผลต่อการดื่มของเด็กและเยาวชน ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้คือ ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการกระตุ้นเยาวชนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยการสนับสนุนกิจกรรม ที่น่าห่วงคือ ธุรกิจดังกล่าวยังนำภาพเซ็กซี่มาแสดงเพื่อกระตุ้นให้เด็กอยากรู้อยากลอง จึงขอฝากว่าทำธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ควรใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ดึงเยาวชนตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย” ดร.เคอร์รี่ กล่าว
ดร.เคอร์รี่ กล่าวอีกว่า มาตรการสำคัญอย่างการเก็บภาษีในออสเตรเลีย เป็นประสบการณ์เพื่อนำมาปรับใช้ในไทยในการแก้ไขปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงรับสปอนเซอร์จากธุรกิจแอลกอฮอล์ได้ โดยออสเตรเลียบางรัฐมีการเก็บภาษีไปสนับสนุนวงการกีฬาโดยตรง ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องไม่รับเงินสปอนเซอร์จากภาคธุรกิจแอลกอฮอล์ โดยมีการมาตรการทางภาษีหรือเรียกว่า Tax from Alcopops ทั้งนี้รัฐบาลออสเตรเลียได้วางภาษีพิเศษเกี่ยวกับ Alcopops หรือคนไทยรู้จักในนามสุราหน้าเด็ก หมายถึงเครื่องดื่มที่ปรุงแต่งเทียบเคียงด้วยรสชาติน้ำหวานและผลไม้ แต่ที่แท้คือสุราเต็มตัวซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากกว่าเบียร์ โดยจะนำเงินไปสนับสนุนหน่วยงานรัฐที่เรียกว่า Australian National Preventative Health Agency (ANPHA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันสุขภาพและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสุขภาพชาวออสเตรเลียทั้งหมด เพื่อพัฒนาวงการกีฬาโดยไม่ต้องรับการสนับสนุนจากฝั่งธุรกิจแอลกอฮอล์
“ข้อจำกัดของกฎหมายยังมีความอ่อนแอ ทั้งเรื่องนโยบายและการบังคับใช้ โดยเฉพาะการจำกัดการโฆษณาในช่วงเวลาที่เด็กดู เช่น ออสเตรเลียมีการแบนโฆษณา แต่กลับยอมให้มีการถ่ายทอดสดกีฬา ที่กระตุ้นให้เด็กดื่ม และจากการศึกษาหลังสองทุ่มครึ่งยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังชมโฆษณา ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้และต้องผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อให้มีประสิทธิภาพ องค์กร หรือหน่วยงานด้านสาธารณสุขควรเป็นผู้นำในการทำงานด้านนี้ นอกจากนี้การบังคับใช้จะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สิ่งสำคัญคือ หากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาสูง จะช่วยลดการดื่มได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และกลุ่มนักดื่มหนัก” นักวิจัย กล่าว
วันนี้ (28 ก.ค.) ที่สำนักงานพัฒนานโยบายระหว่างประเทศ (International Health Policy Program) ในเวทีเสวนา“ทุนอุปถัมภ์และการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวงการกีฬา” จัดโดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) โดยมีผู้สนใจเข้าร่วม อาทิ เครือข่ายนักวิชาการเฝ้าระวังปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
ดร.เคอร์รี่ โอบราน ผู้อำนวยการด้านหน่วยวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า จากการวิจัยสปอนเซอร์ชิปที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตัวนักกีฬาและทีมกีฬา โดยศึกษาในประเทศออสเตรเลียในช่วง 6 เดือน ม.ค.-มิ.ย.พบว่า ออสเตรเลียมีนักกีฬาที่มีความรู้สึกอยากตอบแทนแบรนด์ที่สนับสนุน และที่น่าตกใจคือนักกีฬาที่ได้รับการสนับสนุนมีโอกาสที่จะดื่มยี่ห้อนั้นประมาณ 67% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุน จากการศึกษาพบว่า เยาวชน อายุ 12 ปี ที่ดูกีฬามีความสัมพันธ์กับการดื่ม โดยเด็กกลุ่มดังกล่าวมีการดื่มเบียร์เพิ่มขึ้น 20% นอกจากนี้ การสนับสนุนกีฬาของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังส่งผลทำให้การฝังลึกของความเชื่อในการเชื่อมระหว่างกีฬาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อกล่าวถึงกีฬาจะคิดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทันที นอกจากนี้ยังพบว่าเกินครึ่ง หรือ 60-80% ธุรกิจแอลกอฮอล์จะทุ่มทุนไปกับการโฆษณา
“เยาวชนในปัจจุบันมีความเสี่ยงในการเปิดรับโฆษณาแอลกอฮอล์ รวมถึงการสนับสนุนจากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากหลักฐานทางวิชาการชี้ให้เห็นว่า การเปิดรับโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสนับสนุนกีฬาจากอุตสาหกรรมสุราจะส่งผลต่อการดื่มของเด็กและเยาวชน ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้คือ ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการกระตุ้นเยาวชนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยการสนับสนุนกิจกรรม ที่น่าห่วงคือ ธุรกิจดังกล่าวยังนำภาพเซ็กซี่มาแสดงเพื่อกระตุ้นให้เด็กอยากรู้อยากลอง จึงขอฝากว่าทำธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ควรใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ดึงเยาวชนตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย” ดร.เคอร์รี่ กล่าว
ดร.เคอร์รี่ กล่าวอีกว่า มาตรการสำคัญอย่างการเก็บภาษีในออสเตรเลีย เป็นประสบการณ์เพื่อนำมาปรับใช้ในไทยในการแก้ไขปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงรับสปอนเซอร์จากธุรกิจแอลกอฮอล์ได้ โดยออสเตรเลียบางรัฐมีการเก็บภาษีไปสนับสนุนวงการกีฬาโดยตรง ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องไม่รับเงินสปอนเซอร์จากภาคธุรกิจแอลกอฮอล์ โดยมีการมาตรการทางภาษีหรือเรียกว่า Tax from Alcopops ทั้งนี้รัฐบาลออสเตรเลียได้วางภาษีพิเศษเกี่ยวกับ Alcopops หรือคนไทยรู้จักในนามสุราหน้าเด็ก หมายถึงเครื่องดื่มที่ปรุงแต่งเทียบเคียงด้วยรสชาติน้ำหวานและผลไม้ แต่ที่แท้คือสุราเต็มตัวซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากกว่าเบียร์ โดยจะนำเงินไปสนับสนุนหน่วยงานรัฐที่เรียกว่า Australian National Preventative Health Agency (ANPHA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันสุขภาพและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสุขภาพชาวออสเตรเลียทั้งหมด เพื่อพัฒนาวงการกีฬาโดยไม่ต้องรับการสนับสนุนจากฝั่งธุรกิจแอลกอฮอล์
“ข้อจำกัดของกฎหมายยังมีความอ่อนแอ ทั้งเรื่องนโยบายและการบังคับใช้ โดยเฉพาะการจำกัดการโฆษณาในช่วงเวลาที่เด็กดู เช่น ออสเตรเลียมีการแบนโฆษณา แต่กลับยอมให้มีการถ่ายทอดสดกีฬา ที่กระตุ้นให้เด็กดื่ม และจากการศึกษาหลังสองทุ่มครึ่งยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังชมโฆษณา ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้และต้องผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อให้มีประสิทธิภาพ องค์กร หรือหน่วยงานด้านสาธารณสุขควรเป็นผู้นำในการทำงานด้านนี้ นอกจากนี้การบังคับใช้จะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สิ่งสำคัญคือ หากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาสูง จะช่วยลดการดื่มได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และกลุ่มนักดื่มหนัก” นักวิจัย กล่าว