ระวัง! เด็กไทยป่วยไอกรนมากขึ้น สธ.แนะพาบุตรหลานมารับวัคซีนรวมให้ครบ 5 ครั้ง เพื่อป้องกันการระบาดในวงกว้าง
วันนี้ (27 มิ.ย.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคไอกรนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2555 พบมีการระบาดมากขึ้น แม้แต่สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่มีความครอบคลุมของวัคซีนสูงก็ยังประสบปัญหา สำหรับประเทศไทยหลังจากมีการให้บริการวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ตั้งแต่ปี 2520 อัตราป่วยและจำนวนผู้ป่วยลดลงตามลำดับ แต่ในปี 2554 เป็นต้นมา กลับมีรายงานผู้ป่วยโรคไอกรนเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังโรคเพิ่มมากขึ้น จากปกติจะมีรายงานปีละ 10 ราย แต่ปี 2556 ตั้งแต่ ม.ค.-กลาง มิ.ย. พบแล้ว 14 ราย จึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรค (คร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดี คร.กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยไอกรนลดลงมาก พบปีละ 10 ราย ไม่มีป่วยเสียชีวิต เนื่องจากมีความครอบคลุมของการให้วัคซีนสูงมากกว่าร้อยละ 90 อย่างไรก็ตาม ปี 2554 เป็นต้นมา พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น คร.จึงได้ให้ความสำคัญกับโรคนี้ โดยเร่งรัดการให้วัคซีนและสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้นำเด็กมารับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ทั้งเด็กไทยและเด็กต่างชาติมารับวัคซีนรวมตามกำหนดให้ครบ 5 ครั้ง ดังนี้ อายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน มารับวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และวัคซีนตับอักเสบบี จากนั้นมารับวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก อีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง และ 4 ปี ตามลำดับ
นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า โรคไอกรนมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “บอเด็ทเทลล่า เพอร์ทัสซิส (Bordetella pertussis)” โดยเชื้อจะจับอยู่บริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน และสร้างพิษทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด (มีน้ำมูก) ไอเล็กน้อย อาจมีไข้ต่ำๆ นานประมาณ 7-10 วัน จากนั้นจะไอมาก ไอเป็นชุดๆ มีเสียง “ฮูบ” หลังการไอหรือขณะไอ ผู้ป่วยเด็กเล็กอาจมีอาเจียนหลังไอ หรือไอจนตัวเขียว พบเลือดออกในเยื่อบุตาขาวได้ ระยะนี้นานถึง 1-10 สัปดาห์ ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาจมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ปอดบวม ชัก อาการทางสมอง น้ำหนักลด ไส้เลื่อน และเสียชีวิต ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนโดยเฉพาะเด็กเล็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนรวม หรือได้รับวัคซีนรวมแต่ยังไม่ครบ 5 ครั้ง
“โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรก และค่อยๆ ลดการแพร่กระจายของโรค จนไม่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้เมื่อสัปดาห์ที่ 3 หรือหลังผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมเชื้อจะหยุดแพร่กระจายหลังได้รับยาแล้ว 5 วัน นอกจากนี้ เชื้อนี้จะสามารถแพร่กระจายสู่คนจำนวนมากในเวลารวดเร็ว โดยพบว่าผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมีความไวต่อการรับเชื้อทุกคน อัตราของผู้รับเชื้อและป่วยในบ้านเดียวกันสูงถึงร้อยละ 90 จึงแนะนำถ้าพบผู้ป่วยไอกรนในบ้านให้แยกผู้ป่วย เพื่อป้องกันการกระจายเชื้ออย่างน้อย 1-5 วัน หลังพบแพทย์และได้รับยาปฏิชีวนะ” อธิบดี คร.กล่าว
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า หากไม่ได้รับยาปฏิชีวนะให้แยกผู้ป่วย 21 วัน หลังจากเริ่มมีอาการไอ หลีกเลี่ยงสารก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น บุหรี่ ฝุ่น ดื่มน้ำให้มาก ครั้งละน้อยแต่บ่อยๆ และควรรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตามการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การพาเด็กไปรับวัคซีนให้ครบ 5 ครั้งตามกำหนด เมื่อเด็กป่วยต้องรีบพาเด็กไปพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการมีไข้และไอมาก
วันนี้ (27 มิ.ย.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคไอกรนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2555 พบมีการระบาดมากขึ้น แม้แต่สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่มีความครอบคลุมของวัคซีนสูงก็ยังประสบปัญหา สำหรับประเทศไทยหลังจากมีการให้บริการวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ตั้งแต่ปี 2520 อัตราป่วยและจำนวนผู้ป่วยลดลงตามลำดับ แต่ในปี 2554 เป็นต้นมา กลับมีรายงานผู้ป่วยโรคไอกรนเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังโรคเพิ่มมากขึ้น จากปกติจะมีรายงานปีละ 10 ราย แต่ปี 2556 ตั้งแต่ ม.ค.-กลาง มิ.ย. พบแล้ว 14 ราย จึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรค (คร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดี คร.กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยไอกรนลดลงมาก พบปีละ 10 ราย ไม่มีป่วยเสียชีวิต เนื่องจากมีความครอบคลุมของการให้วัคซีนสูงมากกว่าร้อยละ 90 อย่างไรก็ตาม ปี 2554 เป็นต้นมา พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น คร.จึงได้ให้ความสำคัญกับโรคนี้ โดยเร่งรัดการให้วัคซีนและสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้นำเด็กมารับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ทั้งเด็กไทยและเด็กต่างชาติมารับวัคซีนรวมตามกำหนดให้ครบ 5 ครั้ง ดังนี้ อายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน มารับวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และวัคซีนตับอักเสบบี จากนั้นมารับวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก อีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง และ 4 ปี ตามลำดับ
นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า โรคไอกรนมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “บอเด็ทเทลล่า เพอร์ทัสซิส (Bordetella pertussis)” โดยเชื้อจะจับอยู่บริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน และสร้างพิษทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายหวัด (มีน้ำมูก) ไอเล็กน้อย อาจมีไข้ต่ำๆ นานประมาณ 7-10 วัน จากนั้นจะไอมาก ไอเป็นชุดๆ มีเสียง “ฮูบ” หลังการไอหรือขณะไอ ผู้ป่วยเด็กเล็กอาจมีอาเจียนหลังไอ หรือไอจนตัวเขียว พบเลือดออกในเยื่อบุตาขาวได้ ระยะนี้นานถึง 1-10 สัปดาห์ ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาจมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ปอดบวม ชัก อาการทางสมอง น้ำหนักลด ไส้เลื่อน และเสียชีวิต ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนโดยเฉพาะเด็กเล็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนรวม หรือได้รับวัคซีนรวมแต่ยังไม่ครบ 5 ครั้ง
“โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรก และค่อยๆ ลดการแพร่กระจายของโรค จนไม่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้เมื่อสัปดาห์ที่ 3 หรือหลังผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมเชื้อจะหยุดแพร่กระจายหลังได้รับยาแล้ว 5 วัน นอกจากนี้ เชื้อนี้จะสามารถแพร่กระจายสู่คนจำนวนมากในเวลารวดเร็ว โดยพบว่าผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมีความไวต่อการรับเชื้อทุกคน อัตราของผู้รับเชื้อและป่วยในบ้านเดียวกันสูงถึงร้อยละ 90 จึงแนะนำถ้าพบผู้ป่วยไอกรนในบ้านให้แยกผู้ป่วย เพื่อป้องกันการกระจายเชื้ออย่างน้อย 1-5 วัน หลังพบแพทย์และได้รับยาปฏิชีวนะ” อธิบดี คร.กล่าว
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า หากไม่ได้รับยาปฏิชีวนะให้แยกผู้ป่วย 21 วัน หลังจากเริ่มมีอาการไอ หลีกเลี่ยงสารก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น บุหรี่ ฝุ่น ดื่มน้ำให้มาก ครั้งละน้อยแต่บ่อยๆ และควรรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตามการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การพาเด็กไปรับวัคซีนให้ครบ 5 ครั้งตามกำหนด เมื่อเด็กป่วยต้องรีบพาเด็กไปพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการมีไข้และไอมาก