ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สำหรับผมแล้วการถกเถียงกันเรื่องล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกนั้น ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก และก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนบทความการล้างพิษตับนั้น ก็ได้ค้นหาข้อมูลในต่างประเทศที่โต้แย้งมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ดูเหมือนช่วงเวลานี้จากเดิมที่มีกระแสค่อนข้างแรงตามลำดับแล้ว เมื่อรายการ "คน ค้น คน" ได้ออกอากาศเผยแพร่การล้างพิษตับของศีรษะอโศกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ที่มีการสัมภาษณ์ทั้ง อ.แก่นฟ้า แสนเมือง และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้บุกเบิกหลักสูตรนี้จนได้รับการตอบสนองเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้กระแสนี้แรงขึ้นไปอีก
และเป็นไปตามคาด เรื่องที่กระแสแรงก็มักจะมีคนเข้ามาตรวจสอบเพื่อหาความจริงหรือจับผิดเป็นธรรมดา บ้างก็ตรวจสอบเพราะหวังดีกับประชาชน บ้างก็ไม่ได้รู้จริง บ้างก็ลองวิชา บ้างก็ต้องการโหนกระแสสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราน่าจะศึกษาหาคำตอบนี้ด้วย "ความจริง" ที่ไม่ใช่ "ความเชื่อ"
น่าเสียดายบางคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เน้นการจับผิดโดยใช้ความเชื่อในเรื่องที่เล็กที่สุดซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อหวังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมากที่สุด และบางคน "หลงในอัตตาตนเอง" ถึงขนาดต้องอ้างเหตุผลหรือความสำเร็จในการตรวจสอบในอดีตเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคัดค้านต้องเป็นจริงด้วย ซึ่งผมเห็นว่าการพูดสิ่งที่เคยพิสูจน์ว่าถูกต้องในเวลาหนึ่งแล้วอ้างว่าเรื่องที่ “พูดอีกเรื่องหนึ่งในปัจจุบัน” จะต้องถูกต้องด้วยนั้น...ไม่จริงเสมอไป และเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้ในตรรกะทางวิทยาศาสตร์
ในทำนองเดียวกันคนที่สนับสนุนการล้างพิษตับเองก็ไม่ใช่ว่าจะหาคำตอบได้ทุกอย่าง ชาวอโศกเขาเป็นชาวบ้านที่ต้องการช่วยเหลือคนแบบบุญนิยมและไม่ได้ทำการค้า ถือศีลมีคุณธรรมยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวหาว่าพวกเขาหลอกลวงเสียอีก เมื่อเห็นผลดีเป็นที่ประจักษ์กับคนที่ป่วยจำนวนมากก็เดินหน้าช่วยเหลือคนอื่นก่อนที่จะมาสนใจเรื่องวิจัยหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับจนแทบไม่มีเวลา จนงานล้นมือ และอาจเป็นเพราะชาวอโศกไม่ได้ดำเนินการไปเพื่อความร่ำรวยหรือสร้างชื่อเสียง จึงไม่ได้มีเวลามาใส่ใจกับงานวิจัยเพื่อหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้คนอื่นเชื่อหรือไม่เชื่อ และไม่ได้ใส่ใจว่าจะมีคนโจมตีอย่างไรเสียด้วยซ้ำ (เพราะที่ผ่านมาก็มีเรื่องที่ถูกโจมตีมากยิ่งกว่านี้หลายเท่า)
ความจริงแล้วในเรื่องสุขภาพในแพทย์ทางเลือกหลายอย่างดูจะเหมือนเป็นความเชื่อ (เช่นเดียวกับฝ่ายที่ต่อต้าน) แต่ผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับจำนวนมากมีรายงานที่มีผลตรวจทางการแพทย์ว่าได้รับผลดีเป็นที่ประจักษ์หลายด้าน ย่อมแสดงว่าการล้างพิษตับย่อมมีผลดีที่คนสามารถเลือกดูแลตัวเองได้ไม่น้อย และเมื่อมีคนได้ผลมากจึงทำให้มีการบอกต่อถึงความสัมฤทธิ์ผล หลายคนจึงเสนอให้ผู้ที่จัดหลักสูตรล้างพิษหรือในทางธรรมชาติบำบัดในเวลานี้รวบรวมสถิติข้อมูลที่เกิดขึ้นไปแล้ว เพื่อต่อยอดหาคำตอบให้ได้ในทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น เพื่อช่วยให้คนได้สร้างบุญให้คนป่วยไม่เสียโอกาสล้างพิษตับเพียงเพราะหลงเชื่อข้อมูลหรือการจั่วหัวของผู้ต่อต้านที่ใช้ความเชื่อของตัวเองมาคัดค้านในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง และพิสูจน์ไม่ได้
บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังตอบโต้โจมตีเรื่องการล้างพิษตับ แต่เมื่อถูกโจมตีและไล่ต้อนมากๆจากคนที่ได้รับผลดีจากการล้างพิษตับที่เห็นผลดีเป็นที่ประจักษ์ ก็พยายามหดและบิดขอบเขตของการถกเถียงจากคำว่า "ล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง" มากลายเป็น "ที่เรียกว่านิ่วเป็นเรื่องที่หลอกลวง" ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นคนละ "หัวข้อ" จะมาแก้ตัวภายหลังในเรื่อง "ขอบเขต" ที่กำลังกล่าวหากันขณะนี้ แต่ก็ไม่ว่ากันที่จะมาแก้เขินกันบ้าง เพราะอย่างไรเสียต้องถือว่าการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดี
ผมเห็นว่าเรื่องนี้หลายคนน่าจะสนใจและติดตามในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น จึงขออนุญาตรวบรวมผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และตรวจสอบจากศูนย์ล้างพิษหลายแห่งเพื่อมาประกอบการพิจารณาเพื่อมาช่วยหาความจริงในการล้างพิษตับว่าอะไรคือผลดี อะไรคือผลร้าย อะไรคือความจริง และอะไรคือสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงที่ต้องระมัดระวังในการนำเสนอ ซึ่งคงใช้เวลามากกว่า 1 ตอนในการนำเสนอชุดนี้
เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมเองตระหนักในเรื่องเหล่านี้ดี ผมขอเริ่มจากบทความที่ผมได้เขียนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2555 แล้ว ในบทความที่ชื่อว่า "ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?" ซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือที่ผมเขียนชื่อ "ปฏิวัติสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัด กิน-ดื่มด่าง ล้างพิษตับ" ดังนี้
"ตามปกติแล้วเมื่อดูวิธีการในต่างประเทศ พบว่า การล้างลำไส้จะใช้เวลาอดอาหารนานกว่าการล้างพิษออกจากตับ แต่เมื่อมาผนวกกันจึงทำให้การล้างพิษตับต้องอดอาหารนานเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ข้อดีสำหรับผู้ที่เข้าหลักสูตรครั้งนี้จะมีความเข้าใจเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่าเมื่อล้างลำไส้จนสะอาดแล้วไม่เหลืออะไรแล้ว จึงทำให้มั่นใจว่าคืนสุดท้ายที่ล้างพิษตับจะมีผลิตภัณฑ์อีกชุดหนึ่งที่ออกมาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ออกมาจากลำไส้ ซึ่งก็ย่อมออกมาจาก ตับ หรือ ถุงน้ำดี และบางส่วนก็ต้องออกมาจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไปในคืนสุดท้ายของหลักสูตรนี้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาคืนสุดท้ายที่มีการดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวอีก 150 ซีซี ในเวลา 22.00 น. - 22.30 น. ซึ่งความจริงแล้วตามตำราแพทย์อายุรเวทระบุแค่ว่าให้ดื่มน้ำมันพืชผสมกับน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเท่านั้น
แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ว่าน้ำมันมะกอกที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวนั้น เข้าไปทำอะไรกับร่างกายเรากันแน่?
ความเชื่อแรก เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ได้เข้าไปในท่อน้ำดี(ในช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้างที่สุดตามนาฬิกาชีวิต) แล้วเข้าไปดึงสิ่งตกค้างในถุงน้ำดีและตับออกมา เสมือนคราบน้ำมันในตับและถุงน้ำดีต้องล้างด้วยน้ำมันจึงจะสามารถเอาออกได้
ความเชื่อที่สอง เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ไม่ได้เข้าไปในตับและถุงน้ำดี แต่เชื่อว่าน้ำมันมะกอกเป็นลิพิดซึ่งกระตุ้นทำให้ตับและถุงน้ำดีซึ่งหยุดพักจากการย่อยอาหารในช่วงเวลาหนึ่ง ได้ผลิตน้ำดีออกมาเพื่อย่อยน้ำมันมะกอกพร้อมๆกันจำนวนมาก จึงเป็นผลทำให้สิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีจึงหลุดออกมาด้วย
ความเชื่อที่สาม เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาว เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วน้ำดีจะออกมาทำปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดีซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ 2 ความเชื่อแรกเชื่อว่า สูตร น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวช่วยล้างพิษออกจากตับได้จริง แต่ความเชื่อที่สามกลับไม่เชื่อแต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลอกลวงและไม่น่าเชื่อถือ
ความจริงแล้วการทำ"สบู่ก้อน"ที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม จึงจะมีโอกาสทำเป็นสบู่ก้อนได้
แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งห่างไกลจากค่าความเป็นด่างที่จะทำสบู่ก้อนที่ต้องมีค่า pH สูงถึง 14 จึงไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้ หากสมมุติทำได้อย่างมากก็เป็นแค่สบู่เหลวเท่านั้น
ผลิตภัณฑ์ก้อนสีเขียว ที่มีการถ่ายออกมจากาการล้างพิษตับ จริงอยู่ที่ว่าที่มีการเรียกกันว่า "นิ่ว" นั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ"นิ่ว"ที่เป็นเหมือนก้อนหินนั้นต้องจมน้ำและไม่สามารถลอยน้ำได้ แต่ก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำได้นั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น"ก้อนไขมัน"มากกว่าที่อาจมีการผสมทั้งน้ำดี (จึงทำให้เป็นสีเขียว) และบางส่วนอาจมาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว) และบางส่วนอาจผสมกับเป็นก้อนไขมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ออกมาจากตับหรือถุงน้ำดีได้ด้วย ซึ่งก้อนเหล่านี้หากทิ้งไว้ในอากาศก็จะพบว่าจะค่อยๆละลายจนเป็นของเหลวได้จนหมด เพราะอย่างไรเสียเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปนั้นคงต้องออกมาจากร่างกายในการขับถ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีสิ่งอื่นที่ออกมาด้วยหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า
แม้ว่าจะยังความน่าสงสัยสำหรับคนที่ช่างสงสัยว่าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ออกมานั้น เป็นเพียงการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำดีกับน้ำมันมะกอกที่ผสมกับน้ำมะนาวหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องให้น่าคิดอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ดังนี้
1. ถ้าเป็นเพียงการทำปฏิกิริยาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปในคืนที่ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้ว เหตุใดการล้างพิษตับในแต่ละครั้งจึงมีผลิตภัณฑ์ออกมาของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และเหตุใดคนๆเดียวกันในการล้างพิษตับในแต่ละครั้งก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ก้อนสีเขียว วุ้นสีขาว แผ่นไขมันสีน้ำตาล หรือแม้แต่ไม่มีอะไรออกมาเลย ฯลฯ ?
2. ถ้าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีเฉพาะการทำปฏิกิริยากระหว่างน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาว แล้วเหตุใดในหลายกรณีจึงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ที่ต้องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีแต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษแล้วกลับมีนิ่วจริงๆออกมาได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด โดยบางกรณีพบก้อนไขมันที่ลอยน้ำแต่เคลือบไว้ด้วยนิ่วที่เป็นก้อนหิน และเหตุใดในบางกรณีจึงมีกลิ่นเหม็นเน่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ได้มีการล้างลำไส้หมดแล้ว ในขณะที่หลายคนไม่มีกลิ่นใด และเหตุใดจึงมีบางคนได้มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นไขมันสีน้ำตาลหรือดำจำนวนมากเป็นนับเป็นกิโลกรัมซึ่งมากกว่าน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ดื่มเข้าไป?
3. เหตุใดในกรณีจึงเกิดเหตุผู้ที่ป่วยในโรคตับ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี จึงหายจากโรคนี้ได้เป็นจำนวนหลายคนโดยอาศัยการเข้าหลักสูตรล้างพิษอย่างเดียว โดยเฉพาะกรณีล่าสุด นายชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL หลังจากนั้นจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษเป็นครั้งที่ 12 พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิด บี ลดลงเหลือเพียง 22 IU/mL เท่านั้น
แต่ที่น่าสนใจมีหลายคนที่เข้าหลักสูตรล้างพิษแล้ว มีผลตรวจทางการแพทย์ที่แสดงถึงดัชนีชี้วัดว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น !?"
ผมแปลกใจมากคนที่เรียกตัวเองว่านักวิทยาศาสตร์กลับตัดตอนบทความผมข้างต้นที่พูดถึงเรื่องที่ว่าก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำไม่ควรเรียกว่านิ่วเท่านั้น แต่กลับมาใช้อ้างอิงเรื่องเล็กๆนี้เพื่อโจมตีในเรื่องใหญ่ว่าล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง ทั้งๆที่เป็นสาระสำคัญในเรื่องนี้คือคนที่เคยเข้าหลักสูตรได้รับผลดีขึ้นอย่างไร และดีขึ้นจริงหรือไม่? และคนที่อ้างตนว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์กลับไม่ยอมอ้างอิงในส่วนที่ผมกล่าวถึงและตั้งข้อสังเกตว่าการเกิด "สบู่ก้อน"ทำไม่ได้เพราะน้ำดีมีค่าความเข้มข้นของด่างเพียงแค่ pH 7.5 - 8.8 และหลีกเลี่ยงข้อสังเกตุของผมที่ได้ตั้งคำถามเอาไว้ทั้ง 3 ประการข้างต้น ผมจึงเห็นว่าการโต้แย้งลักษณะนี้ไม่ใช่การโต้แย้งแบบวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเลือกใช้บางข้อมูลที่ไม่ครบในการนำเสนอเพื่อสนองอัตตาและอคติส่วนตัวเท่านั้น ไม่สมควรเป็นวิสัยของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี
นี่ขนาดยังไม่นับเลยว่าการล้างพิษตับน้ำมันมะกอกนั้นไม่ได้มีน้ำมันมะกอกอย่างเดียว ยังมีน้ำมะนาวอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นกรดซิตริกที่มีความเป็นกรดรุนแรงด้วย คำถามจึงตามมาด้วยว่าคำว่า “สบู่ก้อน”จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หากทำได้นั้นมีค่า pH เท่าไหร่ และหากเป็นสบู่จริงเมื่อถูแล้วเป็นฟองจริงหรือไม่?
ผมได้สอบถาม อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ที่ริเริ่มหลักสูตรนี้และเป็นคนที่เชี่ยวชาญในการทำสบู่ก้อนว่า ทำไมจึงไม่เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านในเรื่องนี้ได้แต่เขียนและพูด แต่ไม่ยอมพิสูจน์ให้สาธารณชนได้เห็นด้วยการทดสอบเอา NaOH ที่เจือจางจนใกล้น้ำดีคือ pH 7.5 -8.8 มาผสมกับน้ำมันมะกอก และมะนาว และ ดีเกลือ เพื่อมาทำ "สบู่ก้อน" ให้เราทดลองถูสบู่ก้อนนี้ให้ฟองกันให้สนุกไปเลย ดีเสียอีกร่างกายผลิตสบู่ก้อนเองได้ ไม่ต้องซื้อหาจากไหน?
อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ไม่ตอบอะไรมากได้แต่ ขำๆ เพราะที่จริงเราต่างรู้อยู่แก่ใจว่า ที่นักวิทยาศาสตร์ที่โจมตีในเรื่องนี้หากไม่มีความรู้และไม่เคยทำเรื่องการทำสบู่ก้อนมาก่อนเมื่อทดสอบแล้วคงรู้ผลแล้วว่าเป็นอย่างไรจึงมักจะเงียบไป และหากมีความรู้เรื่องทำสบู่ก้อนจริงก็คงไม่อยากทดสอบเพราะรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่ามันเกิดสบู่ก้อนไม่ได้เช่นกัน !!!!
อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ฝากข้อความให้ได้คิดทั่วกันเกี่ยวกับการล้างพิษที่มีคนได้รับผลดีเป็นที่ประจักษ์เป็นจำนวนมากว่า:
พระพุทธองค์ตรัสว่า "เมื่อบุรุษต้องศรปักอก ผู้เป็นบัณฑิตจะรีบถอนศรออกจากอกโดยพลัน ผู้โง่เขลาจักกุมศรนั้นเที่ยวตามหาว่าศรนี้มาจากไหน ใครยิงเรา"