การสักการเจาะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้คนในปัจจุบัน เพราะการสักมีมานานแล้ว บางคนสักเพื่อความเชื่อ ความศรัทธา บางคนสักเพื่อความสวยงามของร่างกาย แต่ใครจะไปรู้ว่าการสัก การเจาะตามร่างกายนั้นมีความอันตรายไปถึงอวัยวะภายในเช่น "ตับ" ได้อย่างที่ผู้สักนั้นไม่รู้ตัว หรือที่ทางแพทย์เรียกว่าไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นอีกโรคที่มีไวรัสเป็นพาหะ ขณะนี้พบสูงขึ้นเรื่อย ๆ และน่าเป็นห่วงที่สุดเพราะผู้ป่วยมักไม่รู้ว่าตัวเองได้รับเชื้อมา โดยเฉพาะการสักหรือการเจาะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายล้วนแต่เป็นช่องทางให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
แพทย์เตือน เจาะ สัก อาจติดโรค
พล.ต.นพ.อนุชิต จูฑะพุทธิ เลขาธิการมูลนิธิโรคตับ ได้กล่าวถึงโรคไวรัสตับอักเสบซีว่าเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการออกมาอย่งชัดเจน บางรายพบว่ามีไข้ต่ำ เมื่อยล้า คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม ในบางกรณีอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ สมาธิสั้น วิตกกังวลและอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ทำให้ผู้ติดเชื้อคิดไม่ถึงว่าเป็นอาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี กว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อมักเป็นเรื้อรังกว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงถึงขั้นตับแข็ง และลุกลามไปสู่มะเร็งตับในที่สุด
"สาเหตุของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมักผ่านทางเลือด เช่น การเสพยาเสพติด ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับบริจาคโลหิตจากการบริจาคโดยไม่ผ่านหน่วยคัดกรอง ผู้ป่วยล้างไต การสัก การเจาะตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้อยู่ในสภาวะเสี่ยงเหล่านี้ควรได้รับการตรวจเลือด เพื่อวางแผนรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งปัจจุบันการตรวจหาเชื้อทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบซี หากผลออกมาเป็นบวกแพทย์จะให้ตรวจยืนยันอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามีเชื้อไวรัสจริงหรือไม่ ซื่งค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองก็ไม่แพง มีบริการตรวจทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
สำหรับผู้ที่ตรวจแล้วพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี แพทย์จะทำการประเมินการรักษา หากมีแนวโน้มว่าโรคจะพัฒนาไปเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ แพทย์จะพิจารณาให้การรักษา โดยยาที่ใช้รักษาเป็นยาเพ็คอินเตอร์เฟอรอน ฉีดสัปดาห์ละครั้งร่วมกับยารับประทาน 24-28 สัปดาห์ แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี แต่ก็มียารักษาให้หายขาดได้ ทางที่ดีจึงควรตรวจคัดกรองเบื้องต้นให้แน่ใจก่อนจะสายเกินแก้ เพราะไวรัสตับอักเสบซีเป็นแล้วร้ายกว่าที่คิดแน่นอน"
ไม่สนโรคภัย ใส่ใจแต่ผลงาน
ขณะที่เจ้าของร้านสัก กิตติพงศ์ ผาใต้ ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า ช่างสักมีหน้าที่สักลายตามที่ลูกค้าต้องการ ส่วนเรื่องโรคที่ตามมานั้นขึ้นอยู่กับความสะอาดของทางร้านสัก ความได้มาตรฐานของอุปกรณ์สักมากกว่า ซึ่งทางร้านสักของเรานั้นมีการเปลี่ยนเข็มที่ใช้สักทุกครั้ง รับรองเรื่องของความสะอาด และความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก
"ส่วนใหญ่ผู้ที่มาสักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องโรคภัย จะสนใจในเรื่องรอยสักที่จะออกมามากกว่า ผมคิดว่าการสักบนร่างกายนั้นเป็นศิลปะ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบในงานศิลปะ คนที่มาสักก็จะเลือกลายที่ตัวเองชอบไว้อยู่แล้ว เท่าที่ผมเคยสักมาก็ยังไม่มีใครที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเลย"
ด้าน สามารถ เชื้อไทย ผู้ที่ใช้บริการร้านสักได้กล่าวว่า ที่มาสักก็เพราะว่าชอบ เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคลมากกว่า บางคนชอบที่จะดูงานศิลปะ บางคนชอบที่จะมีงานศิลปะบนร่างกาย ความชอบของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน เรื่องโรคที่จะตามมาจากการสักนั้นผู้ที่ต้องการสักส่วนใหญ่จะไม่สนใจตรงนี้มากนัก เพราะว่าแค่สักก็เจ็บอยู่แล้ว จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ที่จะสัก
"เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องโรค ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของการหางานทำมากกว่า เพราะบริษัทบางแห่งมีการตรวจร่างกายและไม่รับผู้ที่มีรอยสักเข้าทำงาน อาจเป็นสาเหตุที่สังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับผู้ที่มีรอยสัก เวลาที่คนมองอาจจะมองผู้ที่มีรอยสักในแง่ลบ"
คิดให้ดีก่อนจะสัก
ไวรัสตับอักเสบซี สามารถเกิดได้จากการสัก เพราะระหว่างที่ทำการสักนั้นจะมีเข็มจิ้มลงไปบนผิดหนังราว 80-150 ครั้งต่อวินาที ในการฉีดสีลงบนผิวหนังนั้นจะทำให้เครื่องมือที่ใช้ในการสักสัมผัสกับเลือดและของเหลวในร่างกาย และหากไม่ได้นำอุปกรณ์ไปฆ่าเชื้อให้เรียบร้อย ก็จะทำให้เชื้อโรคถูกส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น ๆที่มาสักได้เช่นกัน
แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตอันเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมากกว่า 350,000 คน ซึ่งประมาณ 4 ล้านคนของผู้ติดเชื้ออยู่ในทวีปยุโรป และอีก 4 ล้านคนอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ประชากรจำนวน 1 ใน 12 คนทั่วโลกติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี แบบเรื้อรัง ในประเทศไทยพบประมาณร้อยละ 1-5 โดยประมาณ ร้อยละ 5-9 ของผู้ติดเชื้ออยู่ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ การตรวจพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แฟชั่นเหล่านี้เป็นเพียงกระแสนิยม ก่อนที่จะตัดสินใจสักควรคิดให้ดีก่อนว่าพร้อมที่จะเผชิญกับความเสี่ยงจากโรคภัยแล้วหรือยัง อีกทั้งการลบรอยสักออกก็เสียค่าใช้จ่ายสูงและทำได้ยาก ต้องใช้เลเซอร์ในการลบรอยสัก หากแพ้ก็อาจทำให้ผิวที่เคยสวยด้วยลวดลายกลายเป็นแผลเป็นไปเลยก็ได้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live