รำลึก 5 ปี “หมอสงวน” จัดมหกรรมคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน มอบรางวัลเชิดชูคนจิตอาสาร่วมสร้างหลักประกันสุขภาพ “หมอประเวศ” ชี้เป็นการปฏิรูประบบสุขภาพถึงรากถึงโคน เพิ่มความมีศักดิ์ศรีให้คนจน
วันนี้ (27 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ลานอเนกประสงค์ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวระหว่างเปิดงานมหกรรมคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน และรำลึก 5 ปี ที่จากไปของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ “รวมพลังพื้นที่ รวมพลคนจิตอาสา ร่วมสร้างหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดโดย สปสช.และมูลนิธิมิตรภาพบำบัด ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อสืบสานปณิธานที่มุ่งขยายจิตอาสา มิตรภาพบำบัด สร้างหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนของ นพ.สงวน และขยายแนวคิดและการดำเนินงานจิตอาสามิตรภาพบำบัด คนไทยไม่ทอดทิ้งกันให้เป็นเครือข่าย และขยายเข้าสู่ระบบสุขภาพชุมชนผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต.และเทศบาล ขยายเครือข่ายจิตอาสา มิตรภาพบำบัด และเครือข่ายประชาสังคม ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ตลอดจนขยายบทบาทการสนับสนุนงานจิตอาสาของมูลนิธิมิตรภาพบำบัดควบคู่กัน รวมถึงการมอบรางวัลมูลนิธิมิตรภาพบำบัดให้องค์กรและอาสาสมัคร ที่มีจิตอาสาและมีผลงานมิตรภาพบำบัดดีเด่นประจำปี 2555 รวม 7 รางวัล
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บรรยายพิเศษเรื่อง “จากหลักประกันสุขภาพ สู่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน” ว่า นพ.สงวน เปรียบดังบิดาแห่งหลักประกันสุขภาพไทยและมิตรภาพบำบัด เนื่องจาก นพ.สงวนและคณะได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยในด้านสุขภาพอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่คนยากจนต้องไปขอทานบริการ หรือไม่กล้าไป หรือต้องขายนาไร่จนหมดตัวเพื่อไปรักษาพยาบาล ก็สามารถมีสิทธิในการเข้าถึงการรักษา ได้รับบริการในฐานะมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นการปฏิรูปศีลธรรมและระบบสุขภาพอย่างถึงรากถึงโคน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในกลุ่มคนที่คุ้นเคยเรื่องเก่าๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพราะประชาชนมีศักดิ์ศรี สามารถตั้งคำถามต่อ สธ.ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดความเครียดในระบบสุขภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นใจผู้ที่มีความไม่สบายใจ แต่การเปลี่ยนแปลงตรงนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปฏิรูปดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลักใหญ่ๆ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ระบบการเงิน 2.หัวใจของความเป็นมนุษย์ มีการริเริ่มมิตรภาพบำบัด และ 3.คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน
ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิมิตรภาพบำบัด ปาฐกถาเกียรติยศ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ประจำปี 2555 เรื่องจะต้องช่วยกันรักษาไว้ ความตอนหนึ่งว่า ระบบหลักประกันสุขภาพที่ นพ.สงวนมีส่วนสำคัญในการสร้างไว้ มีคุณลักษณะที่ควรจารึกไว้ 10 ประการ คือ 1.เปลี่ยนจากการสงเคราะห์มาเป็นสิทธิของประชาชนที่รัฐต้องจัดให้ 2.ใช้งบประมาณจากภาษีอากร 100% ไม่ต้องบังคับจ่ายสมทบ 3.ตราเป็นกฎหมาย พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบ 4.สร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน 5.สร้างระบบการเยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขให้ประชาชน 6.มีระบบการจ่ายค่าเสียหายหากแพทย์ พยาบาลผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข 7.ขยายครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค 8.สร้างระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งกรณีอุบัติเหตุและเจ็บป่วยฉุกเฉิน 9.สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น และ 10.สร้างกลไกการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล
สำหรับรางวัลมูลนิธิมิตรภาพบำบัดทั้ง 7 รางวัล แบ่งเป็นประเภทที่ 1 ผู้ป่วย/ทีมอาสาสมัครมิตรภาพบำบัดดีเด่น ลำดับที่ 1 คือ นายสมพร ถมหนวด จ.ร้อยเอ็ด ผู้ป่วยทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครมูลนิธิเมาไม่ขับให้คำปรึกษาและแนะนำทักษะการดำรงชีวิตของคนพิการ และรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ลำดับที่ 2 นายคำอ้าย สุนันต๊ะ จ.เชียงราย เป็นอาสาสมัครชมรมผู้พิการในท้องถิ่น ประเภทที่ 2 เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการงานมิตรภาพบำบัดดีเด่น ลำดับที่ 1 นางกันยารัตน์ มาเกตุ พยาบาล รพ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ผู้ผลักดันมิตรภาพบำบัดในรพ.และชุมชน ลำดับที่ 2 พญ.รุจิรา มังคละศิริ จ.นครราชสีมา ผู้เปลี่ยนโรคมะเร็งเป็นพลังในการช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งด้วยกัน ประเภทที่ 3 หน่วยงาน/องค์กรสนับสนุนงานมิตรภาพบำบัด ลำดับที่ 1 วัดโพธิ์ชัยศรี จ.บึงกาฬ พัฒนาวัดเป็นสถานีสาธารณะต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมของชุมชน ลำดับที่ 2 รพ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด สร้างเครือข่ายจิตอาสามิตรภาพบำบัดดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และประเภทที่ 4 สื่อสนับสนุนงานมิตรภาพบำบัดดีเด่น ได้แก่ เครือข่ายพุทธิกา ที่สร้างความรู้ความเข้าใจพุทธศาสนาและงานจิตอาสาให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (27 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ลานอเนกประสงค์ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวระหว่างเปิดงานมหกรรมคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน และรำลึก 5 ปี ที่จากไปของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ “รวมพลังพื้นที่ รวมพลคนจิตอาสา ร่วมสร้างหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดโดย สปสช.และมูลนิธิมิตรภาพบำบัด ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อสืบสานปณิธานที่มุ่งขยายจิตอาสา มิตรภาพบำบัด สร้างหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนของ นพ.สงวน และขยายแนวคิดและการดำเนินงานจิตอาสามิตรภาพบำบัด คนไทยไม่ทอดทิ้งกันให้เป็นเครือข่าย และขยายเข้าสู่ระบบสุขภาพชุมชนผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต.และเทศบาล ขยายเครือข่ายจิตอาสา มิตรภาพบำบัด และเครือข่ายประชาสังคม ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ตลอดจนขยายบทบาทการสนับสนุนงานจิตอาสาของมูลนิธิมิตรภาพบำบัดควบคู่กัน รวมถึงการมอบรางวัลมูลนิธิมิตรภาพบำบัดให้องค์กรและอาสาสมัคร ที่มีจิตอาสาและมีผลงานมิตรภาพบำบัดดีเด่นประจำปี 2555 รวม 7 รางวัล
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บรรยายพิเศษเรื่อง “จากหลักประกันสุขภาพ สู่คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน” ว่า นพ.สงวน เปรียบดังบิดาแห่งหลักประกันสุขภาพไทยและมิตรภาพบำบัด เนื่องจาก นพ.สงวนและคณะได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยในด้านสุขภาพอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่คนยากจนต้องไปขอทานบริการ หรือไม่กล้าไป หรือต้องขายนาไร่จนหมดตัวเพื่อไปรักษาพยาบาล ก็สามารถมีสิทธิในการเข้าถึงการรักษา ได้รับบริการในฐานะมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นการปฏิรูปศีลธรรมและระบบสุขภาพอย่างถึงรากถึงโคน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในกลุ่มคนที่คุ้นเคยเรื่องเก่าๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพราะประชาชนมีศักดิ์ศรี สามารถตั้งคำถามต่อ สธ.ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดความเครียดในระบบสุขภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นใจผู้ที่มีความไม่สบายใจ แต่การเปลี่ยนแปลงตรงนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปฏิรูปดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลักใหญ่ๆ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ระบบการเงิน 2.หัวใจของความเป็นมนุษย์ มีการริเริ่มมิตรภาพบำบัด และ 3.คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน
ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิมิตรภาพบำบัด ปาฐกถาเกียรติยศ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ประจำปี 2555 เรื่องจะต้องช่วยกันรักษาไว้ ความตอนหนึ่งว่า ระบบหลักประกันสุขภาพที่ นพ.สงวนมีส่วนสำคัญในการสร้างไว้ มีคุณลักษณะที่ควรจารึกไว้ 10 ประการ คือ 1.เปลี่ยนจากการสงเคราะห์มาเป็นสิทธิของประชาชนที่รัฐต้องจัดให้ 2.ใช้งบประมาณจากภาษีอากร 100% ไม่ต้องบังคับจ่ายสมทบ 3.ตราเป็นกฎหมาย พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบ 4.สร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน 5.สร้างระบบการเยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขให้ประชาชน 6.มีระบบการจ่ายค่าเสียหายหากแพทย์ พยาบาลผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข 7.ขยายครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค 8.สร้างระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งกรณีอุบัติเหตุและเจ็บป่วยฉุกเฉิน 9.สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น และ 10.สร้างกลไกการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล
สำหรับรางวัลมูลนิธิมิตรภาพบำบัดทั้ง 7 รางวัล แบ่งเป็นประเภทที่ 1 ผู้ป่วย/ทีมอาสาสมัครมิตรภาพบำบัดดีเด่น ลำดับที่ 1 คือ นายสมพร ถมหนวด จ.ร้อยเอ็ด ผู้ป่วยทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครมูลนิธิเมาไม่ขับให้คำปรึกษาและแนะนำทักษะการดำรงชีวิตของคนพิการ และรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ลำดับที่ 2 นายคำอ้าย สุนันต๊ะ จ.เชียงราย เป็นอาสาสมัครชมรมผู้พิการในท้องถิ่น ประเภทที่ 2 เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการงานมิตรภาพบำบัดดีเด่น ลำดับที่ 1 นางกันยารัตน์ มาเกตุ พยาบาล รพ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ผู้ผลักดันมิตรภาพบำบัดในรพ.และชุมชน ลำดับที่ 2 พญ.รุจิรา มังคละศิริ จ.นครราชสีมา ผู้เปลี่ยนโรคมะเร็งเป็นพลังในการช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งด้วยกัน ประเภทที่ 3 หน่วยงาน/องค์กรสนับสนุนงานมิตรภาพบำบัด ลำดับที่ 1 วัดโพธิ์ชัยศรี จ.บึงกาฬ พัฒนาวัดเป็นสถานีสาธารณะต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมของชุมชน ลำดับที่ 2 รพ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด สร้างเครือข่ายจิตอาสามิตรภาพบำบัดดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และประเภทที่ 4 สื่อสนับสนุนงานมิตรภาพบำบัดดีเด่น ได้แก่ เครือข่ายพุทธิกา ที่สร้างความรู้ความเข้าใจพุทธศาสนาและงานจิตอาสาให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง