xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยตายคาถนนปีละ 4 พันราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สธ.เผยอุบัติเหตุทางถนน ทำคนไทยบาดเจ็บปีละ 80,000 ราย ตายอีกกว่า 4,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์และเป็นวัยรุ่น มีการดื่มเหล้าเป็นสาเหตุร่วมด้วย พบอายุน้อยสุด 10 ขวบ แนะเข้มกฎหมายบังคับใช้และล็อกสายรัดคางทุกครั้ง ช่วยลดความรุนแรงอุบัติเหตุได้

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 18 พ.ย.ของทุกปี องค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็นวันรำลึกถึงเหยื่อจากอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนน (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และบาดเจ็บกลายเป็นคนพิการ ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรมากกว่าปีละ 50 ล้านคน เสียชีวิตปีละประมาณ 1.3 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 3,500 คน และเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของกลุ่มอายุ 15-29 ปี จึงเรียกร้องให้ทุกประเทศทั่วโลก ร่วมกันป้องกันแก้ไขปัญหา เพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว

นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์อุบัติเหตุจราจรในประเทศไทย สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ.รายงานล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 31 ธ.ค.2554 พบว่า มีผู้บาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุจราจรเข้ารักษาที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลในสังกัดที่เป็นเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บแห่งชาติ 33 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งหมด 80,962 ราย เฉลี่ยบาดเจ็บชั่วโมงละ 9 ราย เสียชีวิต 4,535 ราย เฉลี่ยวันละ 12 ราย ผู้เสียชีวิตร้อยละ 73 เป็นผู้ขับขี่ ร้อยละ 21 คือ ผู้โดยสาร และร้อยละ 5 เป็นคนเดินเท้า สาเหตุเกิดจากการใช้รถจักรยานยนต์มากถึงร้อยละ 82 ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการใช้รถจักรยานยนต์กว่า 2 ใน 3 เป็นเพศชายและเป็นผู้ขับขี่ ส่วนกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เป็นผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 59 และเสียชีวิตร้อยละ 52

“กลุ่มอายุที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 15-19 ปี คิดเป็นร้อยละ 20 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 20-24 ปี คิดเป็นร้อยละ 13 และอายุ 25-29 ปี คิดเป็นร้อยละ 11 ส่วนกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 20-24 ปี คิดเป็นร้อยละ 18 และมีผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บอายุต่ำกว่า 11 ปีด้วย ช่วงเวลาที่เกิดเหตุมากที่สุด คือ 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่มคิดเป็นร้อยละ 17” ปลัด สธ.กล่าว

นพ.ณรงค์ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ บาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตมากที่สุด คือ การไม่สวมหมวกนิรภัย หรือหมวกกันน็อก ซึ่งในปี 2554 มีผู้บาดเจ็บรุนแรงที่สวมหมวกนิรภัยทั้งหมด 8,092 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ผู้เสียชีวิตที่สวมหมวกนิรภัยมี 171 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 แม้ว่าสัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยของประชาชนทั่วประเทศ ใน 2554สูงขึ้นกว่าปี 2553 ร้อยละ 1.4 ก็ตาม โดยที่โรงพยาบาลเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บเกือบทุกแห่ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่สวมหมวกฯเข้ารับการรักษาฯเพิ่มขึ้น และประการสำคัญมีผู้บาดเจ็บ 1 ใน 3 ดื่มสุราร่วมด้วยจำนวน 18,789 ราย อายุน้อยที่สุดคือ 10 ปี และอายุสูงสุด คือ 20 ปี เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง 15 เท่าตัว และเสียชีวิต 513 รายคิดเป็นร้อยละ 20 และช่วงเวลาที่พบผู้บาดเจ็บจากการขับขี่ฯและดื่มแอลกอฮอล์ด้วยมากที่สุดคือช่วง 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม

ทั้งนี้ อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงและเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรมากที่สุด คือศีรษะ โดยผู้บาดเจ็บรุนแรงที่สวมหมวกกันน็อกมีการบาดเจ็บที่ศีรษะร้อยละ 30 ส่วนผู้ที่ไม่สวมมีการบาดเจ็บที่ศีรษะมากถึงร้อยละ 50 รองลงมา คือ บริเวณเข่า ขา เท้า และข้อเท้า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตที่สวมหมวก จะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะร้อยละ 48 ส่วนผู้เสียชีวิตที่ไม่สวมจะบาดเจ็บที่ศีรษะร้อยละ 60 อวัยวะทีมักจะได้รับบาดเจ็บรองลงมา คือ ช่วงทรวงอกและช่องท้อง ดังนั้น หากมีการบังคับใช้กฎหมายให้ประชาชนสวมใส่หมวกกันนิรภัยกันมากขึ้น ให้สวมใส่ทุกครั้งที่ขับขี่หรือนั่งโดยสารให้ติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะเดินทางในระยะใกล้หรือไกล ก็จะเป็นการช่วยลดความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่จะเกิดกับศีรษะเมื่อเกิดอุบัติเหตุจราจรขึ้นได้

ที่สำคัญ จะต้องล็อกสายรัดคางด้วยทุกครั้ง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหมวกจะห้อหุ้ม และรองรับศีรษะ ลดความรุนแรงจากการกระแทกกับพื้นได้ สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอพบว่าประชาชนใส่หมวกกันน็อค มักจะไม่ล็อกสายรัดคางเพราะเห็นว่าขับขี่ไม่ไกล บางรายใส่เพื่อป้องกันตำรวจจับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่คุ้มกับการเสี่ยงที่จะสูญเสีย โดยเฉพาะสมองซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิตทุกอย่าง” ปลัด สธ.กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น