xs
xsm
sm
md
lg

ตะลึง! ทารก 1 เดือนได้รับพิษเห็ดป่าผ่านนมแม่ พบมีผู้เสีียชีวิตแล้ว 12 ราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สธ.เผย ยอดเปิบเห็ดป่าพิษพุ่ง 400 ราย ตาย 12 ราย พบที่เหนือและอีสานมากสุด ตะลึง! ทารก 1 เดือน ได้รับพิษผ่านนมแม่ด้วย เตือนความเชื่อตรวจสอบเห็ดพิษของชาวบ้าน 4 วิธี ใช้ไม่ได้ผล สั่ง จนท.สาธารณสุข เร่งให้ความรู้ชาวบ้าน หากพบผู้ป่วยให้รับไว้ในโรงพยาบาลจนกว่าจะหายเป็นปกติ

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนประชาชนในพื้นที่ชนบทโดยเฉพาะแหล่งที่มีพื้นที่ป่าธรรมชาติ มักเข้าไปเก็บเห็ดป่านำมารับประทานในบ้าน หรือนำไปจำหน่าย ซึ่ง สธ.ได้จัดระบบเฝ้าระวังผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุและการป้องกัน พบว่าสถานการณ์ในปีนี้น่าเป็นห่วง จำนวนผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดป่ามีพิษมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าช่วงปี 2550-2554 โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2555 สำนักระบาดวิทยารายงานทั่วประเทศพบผู้ป่วย 400 ราย มากที่สุดที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสียชีวิต 12 ราย คิดเป็นอัตราตาย ร้อยละ 3

นพ.สุรวิทย์ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยที่สุดพบที่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นทารกอายุเพียง 1 เดือน ซึ่งได้รับพิษเห็ด จากการกินนมของแม่ที่รับประทานแกงเห็ดป่าพิษเข้าไป แสดงว่า พิษของเห็ดสามารถผ่านทางน้ำนมได้ด้วย แต่รายนี้แพทย์ช่วยชีวิตได้ทัน ส่วนผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผลการสอบสวนโรคทั้งจากผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต พบว่า เกิดมาจากการรับประทานเห็ดป่าพิษตระกูลอะมานิตา (Amanita) ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติเข้าไป ที่รู้จัก เช่น เห็ดระโงกหิน เห็ดไข่ห่าน เห็ดโม่งโก้ง เห็ดตระกูลนี้จะมีสารอะมาท็อกซิน (Amatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษชนิดร้ายแรงที่สามารถทำให้ตับและไตวายได้ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อุบลราชธานี 42 ราย 2.เลย 39 ราย 3.สระบุรี และอุดรธานี จังหวัดละ 25 ราย และ 5.นครพนม 21 ราย ซึ่งผู้ป่วยที่เสียชีวิต 12 ราย อยู่ในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน 9 ราย เชียงใหม่ 1 ราย และ เพชรบูรณ์ 2 ราย


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากเห็ดป่าพิษจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ผิดหรือมีความเข้าใจเรื่องเห็ดป่าที่มีพิษยังไม่ถูกต้อง สรุปได้ 4 ความเชื่อ ได้แก่ 1.คิดว่าเห็ดที่เก็บมาจากที่ที่เคยเก็บมาก่อน หรือเก็บเป็นประจำทุกปีจะไม่มีพิษ 2.เห็ดที่เก็บมามีรอยแมลงหรือรอยสัตว์กัดแทะอยู่แล้วแสดงว่ากินได้ 3.ใช้วิธีการทดสอบเห็ดพิษตามความเชื่อดั้งเดิม และปฏิบัติกันต่อมา เช่น หุงพร้อมกันกับข้าว ต้มกับช้อนเงิน หรือแช่ในน้ำข้าว หากเห็ดไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ แสดงว่ากินได้ และ 4.เชื่อว่า การนำเห็ดมาปรุงด้วยความร้อนสูง เช่น ต้ม แกง จะสามารถทำลายพิษเห็ดได้ การป่วยและเสียชีวิตแสดงให้เห็นว่าวิธีการที่กล่าวมา ไม่สามารถพิสูจน์เห็ดพิษได้จริง ทำให้เมื่อรับประทานเห็ดเข้าไปแล้วก็จะมีอาการเจ็บป่วยตามมา หรือบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

“สำหรับการป้องกันและลดการเสียชีวิตของประชาชน ขณะนี้ได้กำชับให้สถานบริการในสังกัดทุกแห่ง หากพบผู้ป่วยจากเห็ดพิษ ให้ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือนัดเพื่อติดตามอาการทุกวันจนกว่าจะหายเป็นปกติ เนื่องจากเห็ดพิษชนิดร้ายแรงจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนภายใน 24 ชั่วโมงแรก แต่หลังจากผ่าน 24 ชั่วโมงไปแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ การทำงานของตับและไตล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา และในพื้นที่ที่มีเห็ดป่าตามธรรมชาติมาวางขายตามตลาด ควรมีการสุ่มตัวอย่างเห็ดป่าเหล่านั้นมาตรวจคัดแยกชนิด และตรวจหาสารพิษเป็นระยะๆ ในช่วงฤดูกาลที่มีเห็ดของทุกปี เพื่อความปลอดภัยประชาชน” รมช.สาธารณสุข กล่าว

นพ.สุรวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีผู้ป่วยในพื้นที่หรือเคยมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากเห็ดพิษ ได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแจ้งเตือน ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการนำเห็ดป่ามารับประทาน ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ในพื้นที่ เช่น วิทยุชุมชน หอกระจายข่าว หรือกระดานแจ้งข่าวสารตามหมู่บ้าน เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และตระหนักถึงอันตรายจากการกินเห็ดป่า ไม่ควรเก็บเห็ดป่ามารับประทาน โดยเฉพาะเห็ดที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมรีคล้ายไข่ เช่น เห็ดไข่ห่าน เห็ดโม่งโก้ง เห็ดระโงก หรือเห็ดระงากที่ยังเป็นดอกอ่อน เพราะเห็ดสกุลนี้ ขณะเป็นดอกอ่อนจะมีลักษณะเหมือนกันหมด ทำให้ยากต่อการคัดแยกว่าชนิดไหนเป็นเห็ดพิษ ขอให้หญิงแม่ลูกอ่อนที่ให้นมบุตรไม่ควรรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดป่า เพราะหากเป็นเห็ดพิษ เด็กที่ดูดนมแม่จะได้รับสารพิษของเห็ดทางน้ำนมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ หากรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นเห็ดป่าเข้าไป แล้วมีอาการผิดปกติ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินเห็ดให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย เพื่อที่จะสามารถให้การดูแลอย่างถูกวิธี
กำลังโหลดความคิดเห็น