เตือนสาวอยากสวย ระวังครีมหน้าขาวในท้องตลาดไทย หลังสำรวจพบมีสารปรอทปนเปื้อนมากถึง 1 ใน 5 จากการสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ 47 ชนิด และไม่มีเลขที่ใบรับแจ้ง ส่งผลไม่มีรายชื่อผลิตภัณฑ์ในฐานข้อมูลของ อย.
วันนี้ (16 ส.ค.) จุฑามาศ ทรัพย์ประดิษฐ์ นักวิจัยประจำมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยผลโครงการศึกษาการปนเปื้อนของสารปรอทในครีมหน้าขาว โดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ (มบน.) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่า จากการวิเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 47 ชนิด พบว่า มีผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว 10 ชนิด ที่มีสารปรอทปนเปื้อนสูงมาก ค่าสูงสุดที่ตรวจพบ คือ 99,070 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในขณะที่สารปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หรือต้องมีปริมาณเท่ากับ 0 ppm ตามกฎหมายมาตรฐานความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางของกลุ่มประเทศอาเซียน
จุฑามาศ กล่าวอีกว่า การสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ยังพบว่า ครีมหน้าขาวที่ปนเปื้อนสารปรอททั้งหมดยังแสดงข้อมูลบนฉลากไม่ครบถ้วนตามประกาศของคณะกรรมการเครื่องสำอาง อย. เรื่องฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ.2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การไม่ระบุ “เลขที่ใบรับแจ้ง” ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ใดที่ไม่ระบุข้อมูลดังกล่าว ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะไม่ปรากกฏรายการอยู่ในฐานข้อมูลการติดตามตรวจสอบของ อย.ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนสารปรอทเหล่านี้ก็จะไม่ปรากฏชื่อผลิตภัณฑ์ในฐานข้อมูลของ อย.ทำให้ยากแก่การติดตามตรวจสอบแหล่งผลิตหากผู้บริโภคพบปัญหาการใช้เครื่องสำอางชนิดนี้
“ครีมหน้าขาวที่ตรวจพบสารปรอทในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ อย.เคยตรวจพบสารปรอทมาแล้ว และ อย.เคยประกาศให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเครื่องสำอางที่ทำผิดกฎหมายและมีอันตราย แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุดนี้ ก็ยังพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทำผิดกฎหมายเหล่านี้ยังคงวางจำหน่ายในท้องตลาดต่อไป ซึ่งได้แก่ ครีม FC น้ำนมข้าว (พบสารปรอทสูง 99,070 ppm) ไวท์โรส ครีมรกแกะ (51,600 ppm) เหมยหยง ครีมสมุนไพรสาหร่าย (41,770 ppm) เบสท์ บิวตี้ (34,430 ppm) เพิร์ล ครีมหน้าเด้ง (13,800 ppm) มาดาม ออร์แกนิค ไข่มุก (3,435 ppm) และ เบบี้เฟซ ครีมหน้าขาว (81.14 ppm) นอกจากนี้ การสุ่มตัวอย่างยังพบครีมหน้าขาวปนเปื้อนสารปรอทอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ปรากฏในรายการเครื่องสำอางอันตรายของ อย.ได้แก่ ครีมยี่ห้อไบโอคอลลาเจน (47,960 ppm) เนเจอร์ (7,300 ppm) และครีมบำรุงมะหาด (63.53 ppm)” นักวิจัยประจำมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว
จุฑามาศ กล่าวต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว เป็นเครื่องสำอางที่นิยมแพร่หลายกันมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ ในเดือนกรกฎาคม 2547 บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด เคยเปิดเผยผลการศึกษาถึงความนิยมและส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์หน้าขาวว่า มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้อยละ 60 ของตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในประเทศไทย โดยมีมูลค่าสูงประมาณ 2,100 ล้านบาท
จุฑามาศ กล่าวอีกว่า นอกจากพบการปนเปื้อนของสารปรอทในปริมาณสูงแล้ว การศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า ครีมหน้าขาวที่ปนเปื้อนสารปรอท มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูก และราคาแพง ผู้บริโภค จึงไม่สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าผลิตภัณฑ์แบบใดจะปลอดภัยจากสารโลหะหนักที่มีพิษร้ายตัวนี้
น.ส.ทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เครื่องสำอางไม่ต้องมี อย.ที่ต้องมี คือ เลขที่จดแจ้ง จึงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า แม้จะมีเลข อย.ก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย เพราะ อย.แค่รับแจ้ง โดยดูจากเอกสารไม่ได้มีการตรวจวิเคราะห์ แต่การมีเลขเป็นการแสดงเจตนา บอกให้ อย.ได้รู้แหล่งผลิต และตัวตนของผู้ผลิต เท่านั้น
น.ส.สิรินนา เพชรรัตน์ เครือข่ายผู้บริโภค จากโครงการบริโภคสร้างสรรค์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี พบเครื่องสำอางดังกล่าววางขายอยู่ทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่ที่ตลาดสด และพบว่าสินค้าที่วางขายเป็นแบบหมุนเวียนเปลี่ยนยี่ห้อไปเรื่อยๆ และรวดเร็วจนหน่วยงานตามไม่ทัน เครื่องสำอางเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำความเข้าใจผิดให้แก่ชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเครื่องสำอางที่ออกมาวางขายได้นั้นเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการตรวจและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ สารปรอทเป็นส่วนประกอบที่นิยมลักลอบใช้ในครีมหน้าขาว เนื่องจากมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง ทำให้สีผิวจางลง อย่างไรก็ตาม สารปรอทเป็นโลหะหนักที่มีพิษสะสมในร่างกายแม้ได้รับในปริมาณน้อย ก็สามารถทำให้ผู้ใช้ครีมมีผิวบางลง ผิวจะมีความไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นผื่นแดงง่ายขึ้น หรือผิวจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ บางรายอาจมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากได้รับสารปรอทเป็นเวลานาน ร่างกายจะดูดซึมสารปรอทเข้ากระแสเลือด และจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ ไต และทางเดินปัสสาวะ รวมถึงอาจทำให้เกิดโรคโลหิตจาง การได้รับสารปรอทในปริมาณสูงจะทำลายระบบประสาทและการทำงานของสมอง สารปรอทยังสามารถถ่ายทอดจากมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ไปยังทารกในครรภ์ได้ด้วย กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้สารปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2532 และมีการปรับปรุงกฎหมายล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2551
นอกจากนี้ การผลิตและการจำหน่ายเครื่องสำอางไม่ปลอดภัยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
วันนี้ (16 ส.ค.) จุฑามาศ ทรัพย์ประดิษฐ์ นักวิจัยประจำมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยผลโครงการศึกษาการปนเปื้อนของสารปรอทในครีมหน้าขาว โดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ (มบน.) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่า จากการวิเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 47 ชนิด พบว่า มีผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว 10 ชนิด ที่มีสารปรอทปนเปื้อนสูงมาก ค่าสูงสุดที่ตรวจพบ คือ 99,070 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในขณะที่สารปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หรือต้องมีปริมาณเท่ากับ 0 ppm ตามกฎหมายมาตรฐานความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และมาตรฐานการผลิตเครื่องสำอางของกลุ่มประเทศอาเซียน
จุฑามาศ กล่าวอีกว่า การสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ยังพบว่า ครีมหน้าขาวที่ปนเปื้อนสารปรอททั้งหมดยังแสดงข้อมูลบนฉลากไม่ครบถ้วนตามประกาศของคณะกรรมการเครื่องสำอาง อย. เรื่องฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ.2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การไม่ระบุ “เลขที่ใบรับแจ้ง” ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ใดที่ไม่ระบุข้อมูลดังกล่าว ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะไม่ปรากกฏรายการอยู่ในฐานข้อมูลการติดตามตรวจสอบของ อย.ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนสารปรอทเหล่านี้ก็จะไม่ปรากฏชื่อผลิตภัณฑ์ในฐานข้อมูลของ อย.ทำให้ยากแก่การติดตามตรวจสอบแหล่งผลิตหากผู้บริโภคพบปัญหาการใช้เครื่องสำอางชนิดนี้
“ครีมหน้าขาวที่ตรวจพบสารปรอทในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ อย.เคยตรวจพบสารปรอทมาแล้ว และ อย.เคยประกาศให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเครื่องสำอางที่ทำผิดกฎหมายและมีอันตราย แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุดนี้ ก็ยังพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทำผิดกฎหมายเหล่านี้ยังคงวางจำหน่ายในท้องตลาดต่อไป ซึ่งได้แก่ ครีม FC น้ำนมข้าว (พบสารปรอทสูง 99,070 ppm) ไวท์โรส ครีมรกแกะ (51,600 ppm) เหมยหยง ครีมสมุนไพรสาหร่าย (41,770 ppm) เบสท์ บิวตี้ (34,430 ppm) เพิร์ล ครีมหน้าเด้ง (13,800 ppm) มาดาม ออร์แกนิค ไข่มุก (3,435 ppm) และ เบบี้เฟซ ครีมหน้าขาว (81.14 ppm) นอกจากนี้ การสุ่มตัวอย่างยังพบครีมหน้าขาวปนเปื้อนสารปรอทอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ปรากฏในรายการเครื่องสำอางอันตรายของ อย.ได้แก่ ครีมยี่ห้อไบโอคอลลาเจน (47,960 ppm) เนเจอร์ (7,300 ppm) และครีมบำรุงมะหาด (63.53 ppm)” นักวิจัยประจำมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว
จุฑามาศ กล่าวต่อไปว่า ผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว เป็นเครื่องสำอางที่นิยมแพร่หลายกันมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ ในเดือนกรกฎาคม 2547 บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด เคยเปิดเผยผลการศึกษาถึงความนิยมและส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์หน้าขาวว่า มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้อยละ 60 ของตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในประเทศไทย โดยมีมูลค่าสูงประมาณ 2,100 ล้านบาท
จุฑามาศ กล่าวอีกว่า นอกจากพบการปนเปื้อนของสารปรอทในปริมาณสูงแล้ว การศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า ครีมหน้าขาวที่ปนเปื้อนสารปรอท มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูก และราคาแพง ผู้บริโภค จึงไม่สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าผลิตภัณฑ์แบบใดจะปลอดภัยจากสารโลหะหนักที่มีพิษร้ายตัวนี้
น.ส.ทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เครื่องสำอางไม่ต้องมี อย.ที่ต้องมี คือ เลขที่จดแจ้ง จึงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า แม้จะมีเลข อย.ก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย เพราะ อย.แค่รับแจ้ง โดยดูจากเอกสารไม่ได้มีการตรวจวิเคราะห์ แต่การมีเลขเป็นการแสดงเจตนา บอกให้ อย.ได้รู้แหล่งผลิต และตัวตนของผู้ผลิต เท่านั้น
น.ส.สิรินนา เพชรรัตน์ เครือข่ายผู้บริโภค จากโครงการบริโภคสร้างสรรค์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี พบเครื่องสำอางดังกล่าววางขายอยู่ทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่ที่ตลาดสด และพบว่าสินค้าที่วางขายเป็นแบบหมุนเวียนเปลี่ยนยี่ห้อไปเรื่อยๆ และรวดเร็วจนหน่วยงานตามไม่ทัน เครื่องสำอางเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำความเข้าใจผิดให้แก่ชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเครื่องสำอางที่ออกมาวางขายได้นั้นเป็นเครื่องสำอางที่ผ่านการตรวจและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ สารปรอทเป็นส่วนประกอบที่นิยมลักลอบใช้ในครีมหน้าขาว เนื่องจากมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง ทำให้สีผิวจางลง อย่างไรก็ตาม สารปรอทเป็นโลหะหนักที่มีพิษสะสมในร่างกายแม้ได้รับในปริมาณน้อย ก็สามารถทำให้ผู้ใช้ครีมมีผิวบางลง ผิวจะมีความไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นผื่นแดงง่ายขึ้น หรือผิวจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ บางรายอาจมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากได้รับสารปรอทเป็นเวลานาน ร่างกายจะดูดซึมสารปรอทเข้ากระแสเลือด และจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ ไต และทางเดินปัสสาวะ รวมถึงอาจทำให้เกิดโรคโลหิตจาง การได้รับสารปรอทในปริมาณสูงจะทำลายระบบประสาทและการทำงานของสมอง สารปรอทยังสามารถถ่ายทอดจากมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ไปยังทารกในครรภ์ได้ด้วย กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้สารปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2532 และมีการปรับปรุงกฎหมายล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2551
นอกจากนี้ การผลิตและการจำหน่ายเครื่องสำอางไม่ปลอดภัยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ