xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เผยผลศึกษาขึ้นค่าแรง 300 บาท กลุ่มแรงงานธุรกิจเอสเอ็มอีกระทบหนักสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ศึกษาผลกระทบนโยบาย 300 บาท กลุ่มทักษะแรงงานต่ำ 6 กลุ่ม ชี้ คนงานในธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะแรงงานวัยหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-24 ปี กระทบมากสุด โดยคาดว่าจะลงการจ้างงานลงจาก 81% เหลือ 70% และทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายออกจากภาคการผลิต เพื่อไปทำธุรกิจครัวเรือนหรือธุรกิจอี่นๆ รวมถึงส่วนหนึ่งประสบปัญหาการว่างงาน
ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์
ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ทำการศึกษาผลกระทบของการดำเนินนโยบายรายได้ค่าแรงไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน โดยระบุว่า การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำยังจำเป็นต้องมีในบริบทของประเทศไทย และควรทำเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างระดับล่างที่มีอำนาจต่อรองน้อยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากข้อมูลอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเฉลี่ยทั่วประเทศในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2529-2553 (รูปที่ 1) เห็นได้ว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริง (ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดยปกติอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นจะกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างภายใต้ระบบไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้าง และตัวแทนจากภาครัฐ ดังนั้น อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจึงสะท้อนถึงความไม่มีอำนาจในการต่อรองของฝ่ายลูกจ้าง
รูปที่ 1 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย
จากการศึกษาด้วยแบบจำลองทางเศรษฐมิติโดยใช้ข้อมูลค่าจ้างในอดีต พบว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของรายได้แรงงานได้มากพอสมควร รูปที่ 2 แสดงประมาณการผลกระทบของการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อค่าจ้างแรงงานนอกภาคการเกษตรที่เปอร์เซ็นต์ไทล์ต่างๆ ของค่าจ้าง โดยพบผลกระทบสูงที่สุดที่เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 15 กล่าวคือ การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 1%จะทำให้ค่าจ้างของแรงงานกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 0.87% และยังพบอีกว่าผลกระทบในทางบวกต่อค่าจ้างจะมีขึ้นไปถึงประมาณเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 60-65 (ซึ่งได้รับค่าจ้างประมาณ 407 บาทต่อวันก่อนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ) แต่ขนาดของผลกระทบต่อกลุ่มที่ได้รับค่าจ้างในระดับสูงขึ้นไปจะมีลดหลั่นลงไปตามที่แสดงในรูปที่ 2
รูปที่ 2 ผลกระทบของการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 1%
จากการวิเคราะห์ด้านบน จะเห็นได้ว่า การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นประโยชน์กับแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและมีอำนาจต่อรองน้อย อย่างไรก็ตาม ผลดีนี้ส่วนมากจะตกอยู่กับแรงงานที่ยังมีงานทำในภาคการผลิตที่เป็นทางการ ดังนั้น การวิเคราะห์ผลดีผลเสียของนโยบายจึงจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการจ้างงาน และการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิตที่เป็นทางการ (ในระบบ) และที่ไม่เป็นทางการ (นอกระบบ)

งานวิจัยในส่วนนี้เลือกศึกษาเฉพาะกลุ่มแรงงานทักษะต่ำที่มีการศึกษาในระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่าเท่านั้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยจะแบ่งประเภทการทำงานออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1) ทำงานในฐานะช่วยธุรกิจครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง 2) ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง 3) ทำงานในกิจการเอกชนขนาดต่ำกว่า 10 คน 4) ทำงานในกิจการเอกชนขนาด10-99 คน 5) ทำงานในกิจการเอกชนขนาด100 คนขึ้นไป และ 6) ทำงานภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ

ผลการศึกษาพบว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อการจ้างงานโดยรวมสำหรับแรงงานทักษะต่ำที่มีอายุระหว่าง 15-65 ปี แต่สิ่งนี้เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเมื่อพิจารณาการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิตจะพบว่าสัดส่วนการจ้างงานในกิจการเอกชนที่มีคนงาน 10-99 คน (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ลดลงอย่างมากและมีนัยสำคัญ แรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะหลุดออกไปอยู่นอกภาคการผลิตที่เป็นทางการ กล่าวคือ เข้าไปทำงานในฐานะช่วยธุรกิจครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และในกิจการเอกชนขนาดต่ำกว่า 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร และไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลค่าจ้างได้

การเคลื่อนย้ายที่น่าวิตกอยู่ในกลุ่มแรงงานวัยหนุ่มสาว (อายุ 15-24 ปี) ทักษะต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของสถานประกอบการเอสเอ็มอี และกิจการขนาดใหญ่มากที่สุด โดยผลการศึกษาชี้ว่าเมื่อตกงาน แรงงานส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะเคลื่อนย้ายไปเป็นแรงงานธุรกิจครัวเรือนที่ไม่ได้รับค่าจ้าง หรือเป็นการว่างงานแฝงนั่นเอง การศึกษาประมาณการว่าหากค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 40% สัดส่วนการจ้างงานของแรงงานกลุ่มนี้จะลดลงจาก 81% เหลือ 70% ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมากและมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้จะกลายเป็นผู้ว่างงาน และส่วนที่เหลือจะออกไปจากตลาดแรงงาน

ดร.ดิลกะ กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้แม้เป็นไปภายใต้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลตามที่หาเสียงไว้ และก็ดูเป็นธรรมกับลูกจ้างระดับหนึ่ง (ได้ตามที่ขอ) แต่การขึ้นค่าจ้างมากๆ แบบฉับพลัน มีโอกาสเกิดผลเสีย โดยเฉพาะผู้ประกอบการหรือภาคธุรกิจที่ไม่แข็งแรงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเอสเอ็มอี จึงควรมีมาตรการรองรับเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสามารถเป็นแหล่งรองรับแรงงานในกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบไม่ต้องถูกเลิกจ้าง หรือถูกผลักไปสู่สภาพการทำงานที่แย่ลง ในสวนทางกับความพยายามในอดีต ซึ่งสามารถทำให้แรงงานเข้ามาทำงานในระบบได้รับการคุ้มครองดูแลตามกฎหมายมากขึ้น แต่ตอนนี้หากไม่เตรียมการรองรับที่ดีผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้แรงงานระดับล่างอายุน้อยทักษะต่ำกลับไปอยู่นอกระบบเป็นจำนวนมาก เพิ่มสัดส่วนแรงงานที่ได้ค่าจ้างต่ำกว่าขั้นต่ำและกฎหมายคุ้มครองไปไม่ถึงอย่างน่าเสียดาย
กำลังโหลดความคิดเห็น