โดย..เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ
ประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริหารของยูเนสโก หรือ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 36 เดือน ต.ค.2554 ที่ผ่านมา โดยมีวาระของการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี (ต.ค.2554-ต.ค.2558) ซึ่งบทบาทสำคัญของกรรมการบริหารฯ คือ ทำหน้าที่พิจารณาและติดตามการดำเนินงานของสำนักงานเลขาธิการยูเนสโกให้สอดคล้องกับมติที่ประชุมสมัยสามัญซึ่งจัดขึ้นทุก 2 ปี
โดยในปีนี้ ได้กำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ ครั้งที่ 189 ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัด ศธ. น.ส.จุไรรัตน์ แสงบุญนำ รองปลัด ศธ.และคณะทำงาน ได้เข้าร่วมประชุมเต็มคณะ ระหว่างวันที่ 1-2 มี.ค.ที่ผ่านมา
ศ.ดร.สุชาติ ได้ใช้เวลาประมาณ 8 นาที กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเต็มคณะ มีใจความสำคัญตอนหนึ่ง ว่า ประเทศไทยขอให้ยูเนสโกให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาสมรรถนะ และขอบคุณยูเนสโกที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยในช่วงที่ประสบอุทกภัย และให้การช่วยเหลือสนับสนุนภาคการศึกษานอกระบบสร้างสมรรถนะในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ขณะเดียวกัน ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่าแม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบอุทกภัยอย่างหนัก แต่ยังยืนยันจะเดินหน้าตามเป้าหมายของยูเนสโก โดยได้จัดส่งเงินอุดหนุนองค์การเร็วขึ้นกว่าปกติ และมีความประสงค์จะซ่อมบำรุงอาคาร สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักการศึกษาประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของยูเนสโก ซึ่งในปีนี้ไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ในการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Ministerial Forum on ICT in Education ) ด้วย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงเจตนารมณ์สละสิทธิ์ในการขอรับเงินสนับสนุนโครงการความร่วมมือกับกับยูเนสโก ปี 2555-2556 ด้วย
“ผมได้กล่าวต่อที่ประชุมด้วยว่าประเทศไทยให้ความสำคัญและส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี โดยรัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ขึ้นเพื่อช่วยเหลือสตรีที่ใช้ชีวิตในภาวะยากลำบากโดยเฉพาะสตรีที่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียว ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2555 โดยจะมีการจัดสรรเงินกองทุน 7,700 พันล้านบาท เฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อจังหวัด ให้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการลงทุน การพัฒนาอาชีพของกลุ่มสตรี ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรีในสังคม” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
“ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องการศึกษาก็ได้นำเสนอว่าผมมีกรอบความคิดการทำงานว่าให้มองว่าเด็กเป็นเหมือนลูกหลานของเรา นอกจากนี้ที่ได้รับความสนใจและมีเสียงชื่นชมมาก คือ เรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดย นางอิรินา โบโกวา (Irina Bokova) ประธานใหญ่ยูเนสโก ให้ความสนใจมากและยังบอกว่าเมื่อเดินทางมาเมืองไทยแล้วจะมาพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและขอติดตามการดำเนินการของกองทุนนี้ด้วย ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าผู้หญิงนั้นเป็นกุญแจสำคัญ และมีความเก่งเท่าเทียมกับผู้ชาย” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
การเดินทางในครั้งนี้แม้มีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารฯ แต่นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ นายฮ่าว ผิง รัฐมนตรีช่วยว่า ศธ.แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เดินทางมาร่วมประชุมด้วยตนเอง ดังนั้น ศธ.ไทยจึงได้ประสานงานจนเกิดการประชุมหารือทวิภาคีขึ้น
โดย ศ.ดร.สุชาติ กล่าวถึงการหารือว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงระดับรัฐบาล และบันทึกความตกลงในเรื่องส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนกับสำนักงานส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ หรือ ฮั่นปั้น ในการส่งครูอาสาจีนมาเมืองไทยปี 1,200 คน แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีการขยายตัวเรื่องการเรียนการสอนภาษาจีนมากขึ้นแต่จำนวนครูอาสาสมัครไม่เพียงพอตามความต้องการ ตนได้ร้องขอผ่านทาง รมช.ศึกษาธิการของจีนว่าอยากจะขอเพิ่มจำนวนครูอาสาที่ส่งมาเป็น 10,000 คน เพราะทราบจาก นายฮ่าว ผิง ว่า อีก 5 ปีข้างหน้าประเทศจีนมีแผนส่งครูอาสาไปทั่วเอเชียเพิ่มเป็น 100,000 คน และมีแผนให้ทุนไปศึกษาในประเทศจีนอีกจำนวน 100,000 คนโดยไม่จำเป็นต้องศึกษาทางด้านภาษา แต่ไปศึกษาสาขาใดก็ได้ ขณะที่ ทางจีนขอให้ไทยพิจารณาจัดส่งครูไทยไปสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยให้แก่นักเรียน/นักศึกษาจีนในประเทศจีนด้วย ทั้งนี้ บันทึกความร่วมมือกำลังจะมีการต่ออายุในช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายนนี้ ซึ่งตนวางแผนจะเดินทางไปประเทศจีนด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม สมาคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทย-จีน (เฉียวปั้น) องค์กรเอกชนในประเทศไทยได้รับการประสานงานจากสำนักงานกิจการชาวจีนโพ้นทะเลของจีนว่าสามารถสนับสนุนครูชาวจีนให้เข้ามาช่วยสอนภาษาจีนในประเทศไทยได้
ท้ายที่สุดนี้ รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่า รู้สึกพอใจกับการเดินทางมาครั้งนี้ เพราะนอกจากจะได้ประชุมและพบปะกับคณะกรรมการบริหารฯ แล้วยังได้พูดคุยกับ รมช.ศึกษาธิการ ของจีนด้วย
