“เผดิมชัย” หนุนคิดค่าปรับรัฐบาล ผ่อนจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ชี้ รัฐบาลต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หลัง สปส.แจงรัฐบาลค้างจ่ายเงินสมทบช่วงปี 53-55 วงเงินรวมกว่า 6.3 หมื่นบาท
วานนี้ (25 ม.ค.) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมทำเรื่องเสนอของบประมาณในส่วนของเงินสมทบประกันสังคมในส่วนที่รัฐบาลค้างจ่ายตั้งแต่เดือน พ.ค.2553-2555 รวมวงเงินกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามที่ตนได้มอบนโยบายให้แก่ นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และ นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการ สปส.เนื่องจากในการเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 งบของ สปส.ในส่วนของเงินสมทบที่รัฐบาลค้างจ่ายในช่วงระหว่างปี 2553-2554 วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านถูกตัดออกไป 1 หมื่นล้านบาท ตนจึงได้สั่งการให้สปส.ทำหนังสือชี้แจงไปยังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบรายจ่าย ประจำปี 2555 เพื่อขอไม่ให้ตัดงบส่วนนี้ออกไป เนื่องจากจะกระทบต่อความมั่นคงของกองทุน
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบ รายจ่ายประจำปี 2555 ของวุฒิสภา ได้แสดงความเห็นว่าไม่ควรตัดงบส่วนนี้ ทาง กมธ.วิสามัญฯควรคืนงบดังกล่าวให้แก่ สปส.เพราะจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว
“กรณีที่ทั้งฝ่ายนักวิชาการ นายจ้างและลูกจ้างเสนอให้มีการคิดค่าปรับรัฐบาลกรณีติดค้างเงินสมทบประกันสังคมและขอผ่อนจ่ายบางส่วนออกไปก่อน ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อมีการคิดค่าปรับกับฝ่ายนายจ้างที่ติดค้างเงินสมทบ ทางฝ่ายรัฐบาลก็ควรจะถูกปรับเช่นกัน ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง แต่กรณีนี้ไม่ควรมีหลายมาตรฐาน ควรมีมาตรฐานเดียวโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของปลัด รง.และเลขาธิการ สปส.ที่จะต้องไปชี้แจงต่อรัฐบาล” นายเผดิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสถานประกอบการที่ค้างชำระเงินสมทบประกันสังคม ซึ่งเป็นยอดสะสมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนมาจนถึงปี 2554 คิดเป็นวงเงินประมาณ 3-4% ของเงินกองทุนประกันสังคมที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 8.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสถานประกอบการค้างชำระกว่า 3.2 หมื่นแห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีสถานประกอบการส่วนหนึ่งได้มีการปิดการไปแล้ว 1.2 หมื่นแห่ง ส่วนที่เปิดกิจการอยู่มีประมาณ 20,93 แห่ง และตามกฎหมายประกันสังคมได้กำหนดอัตราค่าปรับนายจ้างที่ค้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมอยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อเดือน
วานนี้ (25 ม.ค.) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมทำเรื่องเสนอของบประมาณในส่วนของเงินสมทบประกันสังคมในส่วนที่รัฐบาลค้างจ่ายตั้งแต่เดือน พ.ค.2553-2555 รวมวงเงินกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามที่ตนได้มอบนโยบายให้แก่ นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และ นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการ สปส.เนื่องจากในการเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 งบของ สปส.ในส่วนของเงินสมทบที่รัฐบาลค้างจ่ายในช่วงระหว่างปี 2553-2554 วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านถูกตัดออกไป 1 หมื่นล้านบาท ตนจึงได้สั่งการให้สปส.ทำหนังสือชี้แจงไปยังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบรายจ่าย ประจำปี 2555 เพื่อขอไม่ให้ตัดงบส่วนนี้ออกไป เนื่องจากจะกระทบต่อความมั่นคงของกองทุน
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบ รายจ่ายประจำปี 2555 ของวุฒิสภา ได้แสดงความเห็นว่าไม่ควรตัดงบส่วนนี้ ทาง กมธ.วิสามัญฯควรคืนงบดังกล่าวให้แก่ สปส.เพราะจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว
“กรณีที่ทั้งฝ่ายนักวิชาการ นายจ้างและลูกจ้างเสนอให้มีการคิดค่าปรับรัฐบาลกรณีติดค้างเงินสมทบประกันสังคมและขอผ่อนจ่ายบางส่วนออกไปก่อน ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อมีการคิดค่าปรับกับฝ่ายนายจ้างที่ติดค้างเงินสมทบ ทางฝ่ายรัฐบาลก็ควรจะถูกปรับเช่นกัน ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง แต่กรณีนี้ไม่ควรมีหลายมาตรฐาน ควรมีมาตรฐานเดียวโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของปลัด รง.และเลขาธิการ สปส.ที่จะต้องไปชี้แจงต่อรัฐบาล” นายเผดิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสถานประกอบการที่ค้างชำระเงินสมทบประกันสังคม ซึ่งเป็นยอดสะสมตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนมาจนถึงปี 2554 คิดเป็นวงเงินประมาณ 3-4% ของเงินกองทุนประกันสังคมที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 8.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีสถานประกอบการค้างชำระกว่า 3.2 หมื่นแห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีสถานประกอบการส่วนหนึ่งได้มีการปิดการไปแล้ว 1.2 หมื่นแห่ง ส่วนที่เปิดกิจการอยู่มีประมาณ 20,93 แห่ง และตามกฎหมายประกันสังคมได้กำหนดอัตราค่าปรับนายจ้างที่ค้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมอยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อเดือน
