ปลัดแรงงาน ชี้ แรงงานประสบน้ำท่วมยังไม่ถูกลอยแพ 3 จังหวัด ทั้งอยุธยา-ปทุมธานี-ฉะเชิงเทรา ถูกเลิกจ้าง 4.5 พันคน จัดตำแหน่งงานรองรับกว่า 1 แสนอัตรา พร้อมจัดสารพัดโครงการช่วยให้แรงงานที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมมีรายได้
วันนี้ (16 พ.ย.) นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน (รง.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพการจ้างให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลิกจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเลิกจ้างยังไม่ได้รุนแรง ยังเป็นไปตามที่ประเมินไว้โดยขณะนี้มีแรงงานเพียงประมาณ 4.5 พันคนในสถานประกอบการ 15 แห่ง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และ ฉะเชิงเทรา ที่ถูกเลิกจ้าง
ทั้งนี้ ล่าสุด กระทรวงแรงงาน ได้ออกมาตรการช่วยจ่ายค่าจ้างให้แก่แรงงานที่เดือดร้อนน้ำท่วมแทนนายจ้างรายละ 2 พันบาท โดยมีเงื่อนไขสถานประกอบการที่จะร่วมโครงการต้องอยู่ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ และต้องเซ็นลงนามเอ็มโอยูและจ่ายค่าจ้างไม่น้อยร้อยละ 75 เพื่อชะลอการเลิกจ้างและเป็นการช่วยรักษาสภาพการจ้าง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า สภาพการณ์ขณะนี้คงไม่มีนายจ้างรายใดอยากเลิกจ้าง ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงคิดโครงการนี้ขึ้นมา
“ตอนนี้มีทั้งแรงงานที่ได้รับค่าจ้างร้อยละ 75 บางคนก็ได้รับค่าจ้างร้อยละ 50 ก็เข้าใจดีว่า ลูกจ้างอยู่ในภาวะที่ลำบาก แต่เห็นว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็ต้องอดทน บางครั้งก็ต้องยอมเสียสละเพื่อจะได้อยู่รอดทั้งสองฝ่าย”ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
นพ.สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงแรงงานมีโครงการต่างๆที่ช่วยเสริมรายได้ให้แก่แรงงาน เช่น โครงการเพื่อนช่วยเพื่อนจ้างงานชั่วคราวแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมให้ไปทำงานในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมเป็นเวลา 3 เดือน โครงการจ้างงานเร่งด่วนจ่ายค่าจ้างวันละ 150 บาทต่อวัน โครงการอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานวันละ 120 บาท ซึ่งโครงการเหล่านี้จะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่รอการฟื้นฟูโรงงาน รวมทั้งได้จัดหาตำแหน่งงานว่างรองรับแรงงานกว่า 1 แสนอัตราเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้างให้มีงานทำ อย่างไรก็ตาม มาตรการของรัฐบาลก็กำลังเร่งช่วยเหลือโรงงานให้กลับมาเปิดกิจการโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ในส่วนของแรงงานที่อยู่นอกพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ได้รับผลกระทบจากการที่โรงงานในพื้นที่น้ำท่วมต้องปิดกิจการชั่วคราวนั้น ทางกระทรวงแรงงานจะนำไปพิจารณาเพื่อหามาตรการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ เบื้องต้นจะต้องให้ความช่วยเหลือแรงงานในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมซึ่งเป็นผู้เดือดร้อนเฉพาะหน้าก่อน
วันนี้ (16 พ.ย.) นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน (รง.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพการจ้างให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลิกจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเลิกจ้างยังไม่ได้รุนแรง ยังเป็นไปตามที่ประเมินไว้โดยขณะนี้มีแรงงานเพียงประมาณ 4.5 พันคนในสถานประกอบการ 15 แห่ง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และ ฉะเชิงเทรา ที่ถูกเลิกจ้าง
ทั้งนี้ ล่าสุด กระทรวงแรงงาน ได้ออกมาตรการช่วยจ่ายค่าจ้างให้แก่แรงงานที่เดือดร้อนน้ำท่วมแทนนายจ้างรายละ 2 พันบาท โดยมีเงื่อนไขสถานประกอบการที่จะร่วมโครงการต้องอยู่ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ และต้องเซ็นลงนามเอ็มโอยูและจ่ายค่าจ้างไม่น้อยร้อยละ 75 เพื่อชะลอการเลิกจ้างและเป็นการช่วยรักษาสภาพการจ้าง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า สภาพการณ์ขณะนี้คงไม่มีนายจ้างรายใดอยากเลิกจ้าง ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงคิดโครงการนี้ขึ้นมา
“ตอนนี้มีทั้งแรงงานที่ได้รับค่าจ้างร้อยละ 75 บางคนก็ได้รับค่าจ้างร้อยละ 50 ก็เข้าใจดีว่า ลูกจ้างอยู่ในภาวะที่ลำบาก แต่เห็นว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็ต้องอดทน บางครั้งก็ต้องยอมเสียสละเพื่อจะได้อยู่รอดทั้งสองฝ่าย”ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
นพ.สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงแรงงานมีโครงการต่างๆที่ช่วยเสริมรายได้ให้แก่แรงงาน เช่น โครงการเพื่อนช่วยเพื่อนจ้างงานชั่วคราวแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมให้ไปทำงานในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมเป็นเวลา 3 เดือน โครงการจ้างงานเร่งด่วนจ่ายค่าจ้างวันละ 150 บาทต่อวัน โครงการอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานวันละ 120 บาท ซึ่งโครงการเหล่านี้จะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่รอการฟื้นฟูโรงงาน รวมทั้งได้จัดหาตำแหน่งงานว่างรองรับแรงงานกว่า 1 แสนอัตราเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้างให้มีงานทำ อย่างไรก็ตาม มาตรการของรัฐบาลก็กำลังเร่งช่วยเหลือโรงงานให้กลับมาเปิดกิจการโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ในส่วนของแรงงานที่อยู่นอกพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ได้รับผลกระทบจากการที่โรงงานในพื้นที่น้ำท่วมต้องปิดกิจการชั่วคราวนั้น ทางกระทรวงแรงงานจะนำไปพิจารณาเพื่อหามาตรการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ เบื้องต้นจะต้องให้ความช่วยเหลือแรงงานในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมซึ่งเป็นผู้เดือดร้อนเฉพาะหน้าก่อน