สภาองค์การนายจ้าง 7 องค์การผนึกกำลังต้านรัฐบาลใหม่รื้อระบบไตรภาคีพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง ยันกลไกระบบไตรภาคีใช้ได้ดี ทุกฝ่ายเชื่อถือ ไม่ค้านขึ้นค่าจ้าง 300 บาท แนะทยอยปรับใน 4 ปีใช้มาตรการลดภาษีค่าน้ำ-ไฟฟ้า ลดต้นทุนเอสเอ็มอี
วันนี้ (22 ก.ค.) ดร.วัลลภ กิ่งชาญศิลป์ ประธานสภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทยแถลงผลหารือระหว่างสภาองค์การนายจ้าง 7 องค์กรที่สโมสรทหารบก กทม.ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งในฐานะสภาองค์การนายจ้างเป็นฝ่ายหนึ่งในไตรภาคีของคณะกรรมการ(บอร์ด)ค่าจ้างกลางของกระทรวงแรงงานได้มีมติไม่เห็นด้วย หากรัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาก้าวล่วงบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของบอร์ดค่าจ้างกลาง
ดร.วัลลภ กล่าวว่า ไตรภาคีเป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้างโดยมีหลักเกณฑ์ที่ดีและใช้ได้ และข้อมูลรองรับชัดเจน เช่น ค่าครองชีพของแรงงาน อัตราเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศและของโลก ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับและใช้มานานนับ 10 ปีแล้ว ดังนั้น จึงไม่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ไปแก้พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 เพื่อล้มระบบไตรภาคี อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลชุดใหม่ล้มระบบไตรภาคีแล้วการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่เป็นที่พอใจของลูกจ้างก็ต้องรับผิดชอบเอง
“นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ไม่ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศหรือนำร่องแค่เฉพาะในกทม. ปริมณฑลและภูเก็ตก่อนล้วนแต่มีผลกระทบทั้งสิ้น ทำให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย แรงงานอพยพเคลื่อนย้ายมากระจุกตัวทำงานในกทม.และจังหวัดที่ได้ค่าจ้าง 300 บาท และผู้ประกอบการก็ย้ายฐานการผลิตมาอยู่ที่กทม.เพราะต้องการประหยัดค่าขนส่ง ทำให้แรงงานต่างจังหวัดไม่มีงานทำแต่ต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น” ดร.วัลลภ กล่าว
นายวรพงษ์ รวิรัฐ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า นโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันของรัฐบาลชุดใหม่นั้นเร็วและไกลเกินไป จึงควรค่อยๆปรับไปอย่างเป็นขั้นตอนและมีมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างต่างได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ ซึ่งนอกจากธุรกิจเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบแล้ว ยังรวมไปถึงธุรกิจภาคบริการเช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.)และแม่บ้าน ซี่งมีมากกว่า 4.5 แสนคน ซึ่งนายจ้างจะต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้นโดยสมาคมผู้ประกอบการในสองอาชีพนี้จะประชุมหารือกันและแถลงท่าทีในวันที่ 8 ส.ค.นี้ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ขณะที่ลูกจ้างนั้นขณะนี้ส่วนใหญ่ 80% จบแค่ชั้นประถมศึกษาไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะทำให้ตกงานได้
นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล ประธานสภานายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลชุดใหม่ จะเข้ามาทำลายระบบไตรภาคีเพราะช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อย่างไรก็ตาม สภาองค์การนายจ้างไม่ได้คัดค้านนโยบายปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน แต่อยากให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนและเกณฑ์ของระบบไตรภาคี เนื่องจากตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันของรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่มีที่มาที่ไปและข้อมูลรองรับที่ชัดเจน
“รัฐบาลจะต้องมีมาตรการรองรับเพื่อลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 27% เช่น ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแบบขั้นบันไดในเวลา 3-4 ปี แต่หากจะปรับทันทีก็ต้องมีมาตรการรองรับ เช่น ลดมูลค่าเพิ่ม ให้เครดิตค่าสาธารณูปโภคทั้งค่าไฟฟ้า ประปาแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีโดยสมมติธุรกิจเอสเอ็มอีมีกำลังจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำได้แค่ 240 บาทต่อวันที่เหลือเป็นส่วนต่าง 60 บาท รัฐบาลก็จ่ายต้นทุนส่วนต่างนี้ให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอีและปีต่อๆไปก็ค่อยลดเหลือ 40 บาทและ20 บาทจนธุรกิจเอสเอ็มอีมีกำลังจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันได้เองทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จะรอฟังนโยบายและมาตรการรองรับของรัฐบาลชุดใหม่และรมว.แรงงานคนใหม่”นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ช่วงบ่ายสภาองค์การนายจ้างทั้ง 7 องค์กรได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอให้ศาลพิจารณายกเลิกคำสั่งของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ที่จะเรียกเก็บเงินจากสำนักงานประกันสังคม(สปส.)ปีละ 2.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปีแรกในการที่จะโอนสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนกว่า 9.6 ล้านคนจากระบบประกันสังคมไปยังระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่สปสช.ดูแลอยู่ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติและขัดต่อมาตรา 5 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2545