นายวรพล โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เนื่องจาก ขณะนี้เศรษฐกิจมีความผันผวนทั่วโลกอยู่มาก เช่น เงินทุนเคลื่อนย้ายมีผลต่อค่าเงินแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกอย่างรวดเร็ว รัฐบาล จะต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพื่อชดเชยเศรษฐกิจส่งออกที่มีมากกว่า 75% ฉะนั้นต้องสร้างความเชื่อมั่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศเพื่อสร้างความสมดุลให้ได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องลงทุนโดยมีภาคเอกชนช่วยขับเคลื่อน
ทั้งนี้ต้องให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งการขับเคลื่อนมองว่ามี 3 ทางเลือกที่สำคัญ ถ้าจะอาศัยภาคประชาชนอย่างเดียวไม่มีกำลัง ดังนั้นการอัดฉีดเงินเข้าสู่รากหญ้าจะเป็นทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 การใช้จ่ายผ่านงบประมาณแผ่นดิน แต่ต้องใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังและทางเลือกที่ 3 ต้องดูแลภาคการลงทุนของเอกชน ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น โดยอาศัยการขับเคลื่อนของภาคเอกชนให้มากขึ้น เช่น ให้ความสำคัญกับธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เป็นอยู่ อาทิ ให้ความสำคัญในการพัฒนาแหล่งทุน เข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างตลาด สร้างความเข้มแข็ง และเปิดโอกาสให้เข้ามาในระบบต่าง ๆ เช่น การเข้ามาในระบบการแข่งขันของภาครัฐบาล ที่ทุกวันนี้กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอียังขาดโอกาสการเข้าถึงการได้งานของภาครัฐอยู่มาก แต่หากกลุ่มเอสเอ็มอี มีโอกาสเข้าถึงงานดังกล่าวได้ก็จะเกิดประโยชน์มาก ยกตัวอย่าง หากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงแห่งละ 10% หรือ โดยเฉลี่ย10 คนต่อ 1 แห่ง ก็จะทำให้มีกำลังแรงงานโดยประมาณ เพิ่มขึ้น 27 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศ และเมื่อมีโอกาสเพิ่มแรงงานได้ โอกาสที่ภาครัฐจะมีรายได้ในรูปของภาษี ก็มากขึ้น ทั้งในส่วนของภาษีบุคคล ภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
ทั้งนี้ต้องให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งการขับเคลื่อนมองว่ามี 3 ทางเลือกที่สำคัญ ถ้าจะอาศัยภาคประชาชนอย่างเดียวไม่มีกำลัง ดังนั้นการอัดฉีดเงินเข้าสู่รากหญ้าจะเป็นทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 การใช้จ่ายผ่านงบประมาณแผ่นดิน แต่ต้องใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังและทางเลือกที่ 3 ต้องดูแลภาคการลงทุนของเอกชน ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น โดยอาศัยการขับเคลื่อนของภาคเอกชนให้มากขึ้น เช่น ให้ความสำคัญกับธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เป็นอยู่ อาทิ ให้ความสำคัญในการพัฒนาแหล่งทุน เข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างตลาด สร้างความเข้มแข็ง และเปิดโอกาสให้เข้ามาในระบบต่าง ๆ เช่น การเข้ามาในระบบการแข่งขันของภาครัฐบาล ที่ทุกวันนี้กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอียังขาดโอกาสการเข้าถึงการได้งานของภาครัฐอยู่มาก แต่หากกลุ่มเอสเอ็มอี มีโอกาสเข้าถึงงานดังกล่าวได้ก็จะเกิดประโยชน์มาก ยกตัวอย่าง หากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงแห่งละ 10% หรือ โดยเฉลี่ย10 คนต่อ 1 แห่ง ก็จะทำให้มีกำลังแรงงานโดยประมาณ เพิ่มขึ้น 27 ล้านคน กระจายอยู่ทั่วประเทศ และเมื่อมีโอกาสเพิ่มแรงงานได้ โอกาสที่ภาครัฐจะมีรายได้ในรูปของภาษี ก็มากขึ้น ทั้งในส่วนของภาษีบุคคล ภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
