มีเดียมอนิเตอร์ เผยเนื้อหาละครดอกส้มสีทองสะท้อน 3 ปัญหาสังคมไทย ชี้ ประชาชนยังสับสนเรื่องหน่วยงานควบคุมสื่อ การจัดเรตติ้งยังล้มเหลว และผู้จัดใช้บทรุนแรงเพื่อเรียกคะแนนคนดู พร้อมแนะสร้างความรู้เรื่องเท่าทันสื่อ พบ 27 วิธีในการฆ่าคนจากละครไทย ขณะที่ปลัด วธ.เตรียมจัดเวทีกลางสร้างความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเรื่องการจัดเรตติ้ง
วันนี้ (10 พ.ค.) นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์ เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้ติดตามข่าวสารการร้องเรียนความไม่เหมาะสมในการนำเสนอเนื้อหาละครเรื่องดอกส้มสีทอง สามารถสะท้อนปัญหาโดยสรุป ดังนี้ 1. สังคมยังขาดความรู้ความเข้าใจอำนาจในการควบคุมดูแลตรวจสอบรายการโทรทัศน์ เช่น การไปร้องเรียนที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แล้วส่งลูกต่อ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะปัจจุบันเมื่อเกิด พ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ 2551 ทำให้หน่วยงานรัฐอย่างกรมประชาสัมพันธ์ รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสื่อ กระทรวงวัฒนธรรม ไม่สามารถไปกำกับดูแลสื่อได้ หน่วยงานรับผิดชอบ คือ กสทช.แต่ระหว่างที่ กสทช.ยังไม่เกิด เราจึงได้เห็นภาพวัฒนธรรมเดิมๆ ที่หากจะร้องเรียนเรื่องเกี่ยวกับสื่อต้องไปร้องที่กระทรวงวัฒนธรรม จริงๆ แล้วถามว่ากระทรวงวัฒนธรรมทำได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง
2. ระบบเรตติ้งประกาศใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2549 ยังไม่สมบูรณ์และมีความผิดพลาด มีการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แต่ไม่มีเส้นแบ่งขั้นเวลากันแน่นอน ดังนั้น เราจึงได้เห็น ดอกส้มสีทอง น 18+ ออกอากาศช่วง 20.30 น.หรือ ละครเกือบทุกช่อง ละครซิตคอม น 13+ น 18+ ออกอากาศในช่วงเวลาบ่าย หรือ ช่วงเย็นก็มี 3.กรณีเนื้อหาความรุนแรงเรื่องเพศ ภาษา ความรุนแรงในละครดอกส้มสีทองถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สะท้อนให้เห็นว่า ผู้จัดละคร ผู้กำกับในปัจจุบันนิยมใช้ฉากเรื่องเพศ ภาษา ความรุนแรงดึงเรตติ้งจากผู้ชมเป็นจุดขายอยู่ ส่วนผู้ชมทำได้แต่นั่งวิพากษ์วิจารย์เรื่องเพศ ภาษา ความรุนแรงอยู่ แต่ยังไปไม่ถึงความรู้เท่าทันสื่อ หมายถึง ไม่สามารถอธิบายไปถึงโครงสร้างละครเรื่องนี้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ที่ไม่ดีอาจเกิดจากจินตนาการเรื่องเพศดูรุนแรงมาก แต่ในส่วนที่ดีไม่ได้พูดถึงกัน เพราะฉะนั้นจึงสะท้อนวุฒิภาวะของผู้ชม ผู้ปกครองยังดูสื่ออย่างผิวเผินอยู่
“ละครหลังข่าวคือช่วงเวลา 20.30 น.ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็น น 13+ ส่วน น 18+ มีน้อยมาก จริงๆ แล้วละครทั่วไปอย่างน้อยที่สุดควรจะติดเรต น 13+ ส่วนละครเป็นเรื่องๆ ควรจะเป็น น 18+ แต่มักจะติดเรตที่ น 13+ ไว้ บางเรื่องติดเรต ท ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะละครซิตคอมบ้านเราก็มีปัญหาในเรื่องการพูดมุกตลกที่มีแต่เรื่องอคติทางเพศ ชนชั้น เสื้อผ้าหน้าผม สูงต่ำดำขาว คนไทย คนจีน คนลาว คนอีสาน คนใต้ ซึ่งควรจะติดเรต น 13+ เป็นอย่างน้อย แต่เห็นละครซิตคอมบางเรื่องติดเรต ท ผมเข้าใจว่า เรตติ้งที่เราใช้ในปัจจุบันเป็นระบบความสมัครใจ เมื่อเป็นความสมัครใจ เขาจะใช้ตรงหรือไม่ตรงกับเนื้อหาก็ได้ ไม่มีการกำกับดูแล ซึ่งการจัดเรตติ้งละครนั้นขึ้นอยู่กับคน 2 กลุ่ม คือ 1.ผู้จัด ผู้กำกับละครเป็นผู้กำหนดเอง อย่างดอกส้มสีทอง ต้องรู้ว่าละครตัวเองมีเนื้อหา บทพูด การแสดงประมาณนี้ ก็จะติดเข้าไป 2.หากผู้จัด ผู้กำกับละครไม่กำหนดเอง กบว.ช่องจะเป็นผู้กำหนด แต่ตามความเป็นจริงแล้วการผลิตละครนั้น ผู้จัดจะไม่ส่งเทปมาให้ กบว.ช่องเซ็นเซอร์ กบว.จะเป็นผู้พิจารณาเนื้อหารายการโทรทัศน์เท่านั้น ดังนั้น ส่วนใหญ่ผู้จัดซึ่งเป็นบริษัทเอกชนข้างนอกจะเป็นผู้พิจารณาเรตติ้งเอง จึงจะไปโทษ กวบ.ช่องอย่างเดียวไม่ได้ บางครั้งส่งเทปมาให้พิจารณาตอนต่อตอน อาจจะพิจารณาไม่ทันก็ได้ เป็นปัญหาเรื่องระบบมากกว่า” นายธาม กล่าว
นายธาม กล่าวต่อว่า ขณะนี้เกิดการหลอมรวมสื่อ ผู้ชมสามารถเปิดชมละครจากอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาไหนก็ได้ มีเคเบิลทีวีอีกนับ 100 ช่อง จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา ทางที่ดีที่สุด คือ การให้ความรู้เท่าทันสื่อ จะเป็นเด็กมีภูมิคุ้มกันเมื่อจะดูละครเรตไหน เวลาไหน ที่ไหน ก็จะรู้เองว่าวัยอย่างเขายังไม่เหมาะสมที่จะดู แต่ประเทศไทย ภาครัฐ องค์กรสื่อสารมวลชนเอง สถาบันการศึกษาไม่มีการรณรงค์ให้ความรู้เท่าทันสื่อแก่เด็ก สังเกตว่าวิชารู้เท่าทันสื่อ ไม่มีการเปิดสอนในระดับประถม มัธยมเลย มีแต่ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะเปิดสอนในคณะนิเทศศาสตร์บางมหาวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนมหาวิทยาลัยทั้งหมดมีเพียง 9 % เท่านั้นที่เปิดสอนวิชานี้ ต่างจากสังคมอเมริกามีทั้งเรตติ้ง มีการกำหนดเวลาแน่นอน มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง ที่สำคัญประชาชนรู้เท่าทันสื่อ แต่ประเทศไทยไม่มีอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มีเดียมอนิเตอร์ ได้ศึกษาความรุนแรงในละครไทย ศึกษาโครงสร้าง หรือ พล็อตเรื่อง ผลสรุปพอสังเขป จากการสำรวจละครกว่า 120 เรื่อง พบว่า 95% ละครมีความรุนแรง ระดับหนัก เบาแตกต่างกัน ในจำนวนนี้ 80% ติดเรต น 13+ และ น 18+ ที่เหลือ 20% ติดเรต ท โดยละครทั้งหมดโครงเรื่องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฉากความรุนแรงปรากฏอยู่ได้บ่อยมาก จะมีวิธีผูกปมขัดแย้งปัญหาตัวละคร การคลี่คลายปมทุกอย่างจะใช้ความรุนแรงหมด โดยการศึกษาครั้งนี้ค้นพบ 27 วิธีในการฆ่าใครคนใดคนหนึ่งในละคร เช่น บางค่ายชอบเขียนบทฆ่าคนพิสดารค่อยๆ วางยาพิษ ยาเบื่อหนู บางค่ายชอบวิธีเก่าๆ ตัดสายเบรกรถให้ขาด ส่วนวิธีแบบคลาสสิก คือ เอาปืนยิง ซึ่งสังเกตตอนจบด้วยตัวร้ายเอาปืนจ่อยิง
ขณะที่นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ตนได้หารือร่วมกับ น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ถึงการจัดเวทีกลางสร้างความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในเรื่องการจัดเรตติ้ง คาดว่า จะดำเนินการได้ภายในเดือนนี้ โดยมีประเด็นที่จะร่วมพิจารณา 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การจัดทำเรตติ้งที่เป็นมาตรฐานเดียว โดยพิจารจากเนื้อหา และวัยของผู้ชม และจะเปิดกว้างในเรื่องอิสระและเสรีภาพในการผลิตให้ผู้ผลิตทุกช่อง แต่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งขอให้มีการใช้เรตติ้งระหว่างภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ เป็นเรตเดียวกัน ตนคิดว่า สามารถพัฒนาได้ไม่ยาก เพราะมีพื้นฐานมาจากแนวคิดเดียวกัน 2. ต้องทำความเข้าใจในการรับรู้เรื่องการจัดเรตติ้งให้แก่บุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ประอบการ ผู้บริหารสถานี และผู้ชม ซึ่งจะทำให้การจัดทำเรตติ้งมีเอกภาพ ซึ่งหากทำความเข้าใจแล้ว การมีเรตติ้งจึงอาจจะไม่ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเสมอไป แต่จะใช้มาตรการการดูแลของผู้ปกครอง และความเข้าใจของคนเป็นสำคัญ 3.เรื่องเวลาในการเผยแพร่ ต้องยอมรับว่าการปิดกั้นสื่อไม่สามารถทำได้แน่นอน ถึงแม้ไม่ฉายในโทรทัศน์ คนสามารถเข้าถึงในอินเทอร์เน็ตได้เช่นกัน ดังนั้นจึงต้องหาทางที่จะพิจารณาว่า จะทำอย่างไรให้ผู้ชมมีวุฒิภาวะที่จะชมละคร
“ที่เป็นห่วง คือ เมื่อเราเปิดเวทีให้แล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ผู้บริหารสถานี หรือ ผู้ประกอบการ บางช่องจะไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งที่ผ่านมา จะเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขณะนื้ทราบว่ามีบางช่องตอบรับ พร้อมร่วมมือดำเนินงานร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีสู่สังคม”นายสมชาย กล่าว



