xs
xsm
sm
md
lg

เผยผลสำรวจกว่าครึ่งห่วงปัญหายาเสพติด มากกว่าคอร์รัปชันของนักการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจพบกว่าครึ่งอยากให้แก้ปัญหายาเสพติด เพราะส่งผลกระทบต่อสังคมไทย ตามด้วยปัญหาคอร์รัปชัน และท้องในวัยเรียน ชี้ เยาวชนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไข แต่อยากให้ฝ่ายการเมืองทำให้เกิดผลมากที่สุด

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับ นายวรภัทธ ปราณีประชาชน นักศึกษา ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) และคณะทำงานโครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจวิกฤตการณ์ทางสังคมของชาติในช่วงเข้าสู่วาระการเลือกตั้ง กรณีศึกษาปัญหา คอร์รัปชัน ท้องในวัยเรียน และยาเสพติด ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี ระยอง กาญจนบุรี ปทุมธานี ชลบุรี น่าน พิษณุโลก เชียงใหม่ นครพนม ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี นครราชสีมา ปัตตานี และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 1,494 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง 10-20 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา พบว่า
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
ร้อยละ 50.3 ระบุปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย และควรได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด รองลงมาคือ ร้อยละ 41.5 ระบุ ปัญหาคอร์รัปชัน และร้อยละ 8.2 ระบุ ปัญหาท้องในวัยเรียน และเมื่อถามว่า ปัญหาใดที่ไม่อยากเจอกับตนเอง และคนใกล้ตัวมากที่สุด ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.4 ระบุปัญหายาเสพติด รองลงมาคือ ร้อยละ 16.1 ระบุ เป็นปัญหาท้องในวัยเรียน และร้อยละ 10.5 ระบุ เป็นปัญหาคอร์รัปชัน

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 76.4 อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติด ในขณะที่ร้อยละ 49.0 ระบุ อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน และร้อยละ 42.8 อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาท้องในวัยเรียน มีเพียงร้อยละ 6.6 ที่ไม่อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

ที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 95.7 เห็นด้วยที่จะให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางสังคมของชาติทั้ง 3 ปัญหา คือ ปัญหายาเสพติด คอร์รัปชัน และท้องในวัยเรียน เพราะต้องเสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้รู้จักแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และอยากให้เยาวชนตระหนักถึงบทบาท เพื่อเป็นตัวอย่างแห่งความดีในอนาคต เป็นต้น ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.3 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ เมื่อถามว่า ใครควรเป็นผู้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาระดับชาติมากที่สุด พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 29.9 ระบุ เป็นรัฐบาล อันดับสอง หรือร้อยละ 19.2 ระบุ เป็นตัวผู้ตอบแบบสอบถามเอง อันดับสาม หรือร้อยละ 17.7 ระบุ เป็น พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง อันดับสี่ หรือร้อยละ 14.2 ระบุ เป็นนักการเมือง อันดับห้าหรือร้อยละ 8.3 ระบุ เป็นเยาวชน และรองๆ ลงไป ได้แก่ ข้าราชการ ครูอาจารย์ องค์กรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชน และนักธุรกิจ ตามลำดับ

ที่น่าเป็นห่วงเหมือนเดิม คือ เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาระดับชาติ พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 85.4 ระบุ นักการเมืองข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง มีคอร์รัปชัน และแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว รองลงมาคือ ร้อยละ 68.9 ระบุ ชาวบ้านทั่วไป เห็นแก่ตัว สนใจแต่เรื่องตนเอง ร้อยละ 67.7 ระบุ สถาบันครอบครัวอ่อนแอ ร้อยละ 65.7 ระบุ ขาดการบังคับใช้กฎหมาย ร้อยละ 64.7 ระบุ ความไม่เท่าเทียมในสังคม และร้อยละ 62.4 ระบุ เด็กไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี จนเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดี

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง อะไรบ้างจะดีขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 72.4 ระบุ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้น รองลงมา คือ ร้อยละ 71.6 ระบุ นักการเมือง ร้อยละ 71.5 ระบุ ระบบการศึกษาจะดีขึ้น ร้อยละ 57.5 ระบุ ระบบราชการ รองๆ ลงไปคือ นิสัยคนไทย สิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน และองค์กรภาคธุรกิจจะดีขึ้น ถ้ามีการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

นายวรภัทร กล่าวว่า จากผลสำรวจทำให้เห็นว่าประชาชนให้ความสำคัญกับปัญหาที่ใกล้ตัวมากกว่าปัญหาที่ไกลตัว โดยมีประชาชนมองปัญหายาเสพติดสำคัญมากกว่าปัญหาคอร์รัปชัน ทางออก คือ ในช่วงที่กำลังเข้าสู่วาระการเลือกตั้งของประชาชนจึงเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาสำคัญของชาติได้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีผลงานชัดเจนว่าสามารถแก้ไขปัญหาใกล้ตัวของประชาชนได้ และถึงแม้ดูเหมือนว่าประชาชนจะเมินปัญหาคอรัปชั่นแต่ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนต่อไปว่า ปัญหาคอร์รัปชันเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอปัญหาสังคมอื่นๆ ในชาติเช่นกันและจะทำให้ประชาชนอยู่กันอย่างไม่ปกติสุข

ขณะที่ ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า เมื่อปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ ฝ่ายการเมืองที่เป็นความหวังของประชาชนต้องเร่งทำให้เกิดผลที่เห็นและจับต้องได้ว่า สามารถลดความรุนแรงของปัญหาลงได้อย่างแท้จริง กองกำลังพิเศษในการปราบปรามยาเสพติดอาจยังไม่เพียงพอและต้องระวังปรากฏการณ์ “ผึ้งแตกรัง” ได้ จึงจำเป็นต้องทำกิจกรรมเชิงบวก เช่น การเสริมสร้างอาชีพยอดนิยมของท้องถิ่น เพิ่มรายได้ครัวเรือนในระดับชุมชนควบคู่ไปด้วย ทำให้ชาวบ้านเห็นว่า ทำมาหากินสุจริตแล้วมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตมากมาย นอกจากนี้ รัฐบาลต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีฐานข้อมูลติดตามผู้ค้า ผู้เสพที่มีประสิทธิภาพสามารถติดตามเส้นทางชีวิตของพวกเขาได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ค้า ผู้เสพสามารถดำรงชีวิตตามกรอบของกฎหมายบ้านเมืองและไม่เป็นอันตรายต่อสังคม
กำลังโหลดความคิดเห็น