เอแบคโพล เผยคนไทยใช้ชีวิตไม่พอเพียงจริง บ้าซื้อของโดยไม่ได้คิดถึงประโยชน์การใช้สอย มองการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ ชี้ ทุกรัฐบาลมีทุจริตคอรัปชั่นทั้งนั้น ถ้าทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็พอยอมรับได้ ทั้งยังเสี่ยงติดพนัน อบายมุข อาชญากรรม และยาเสพติด แนะลดอุปสรรคขัดขวางการใช้ชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบคโพล) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "สำรวจเหตุปัจจัยของการใช้ชีวิตแบบ "ไม่" พอเพียงของคนไทย โดยพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.2 ตอบว่า ตนเองใช้ชีวิตแบบพอเพียง แต่ผลการวิเคราะห์ในทางสถิติจำนวนคนที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียง พบว่าร้อยละ 21.6 ใช้ชีวิตแบบพอเพียงแท้จริง
ในขณะที่ร้อยละ 78.4 ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง โดยมีมูลเหตุปัจจัย 5 อันดับที่ทำให้คนไทยใช้ชีวิตแบบ "ไม่" พอเพียง อันดับแรก หรือร้อยละ 77.0 ได้แก่ หลังซื้อสินค้ามาแล้วพบว่า ตนเองไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก อันดับที่สอง หรือร้อยละ 68.3 ได้แก่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ยัง "เล่นพนัน ซื้อหวย" อันดับที่สาม หรือ ร้อยละ 63.9 ได้แก่ คิดว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ
ส่วนอันดับที่สี่น่าเป็นห่วง คือร้อยละ 60.5 ได้แก่ คิดว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลมีทุจริตคอรัปชั่นทั้งนั้น ถ้าทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็พอยอมรับได้ และอันดับที่ห้า หรือร้อยละ 48.5 ได้แก่ คิดอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายที่วางไว้ ทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.0 ระบุว่า ถ้าไม่มีรายได้เดือนนี้ ตนเองจะต้องเดือดร้อนพึ่งพาคนอื่น ในขณะที่ร้อยละ 21.0 ระบุไม่เดือดร้อน
ทั้งนี้จากสถิติพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบพอเพียงอย่างแท้จริง และยังเป็น "กลุ่มเสี่ยง" ที่จะทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายด้าน เช่น การพนัน อบายมุข อาชญากรรม ยาเสพติด และการไม่ประพฤติตนตามหลักศีลธรรมและกฎหมายของบ้านเมือง
ดังนั้น ทางออกในการแก้ไขปัญหา คือ ต้องทำให้หลักปรัชญาแห่งเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักแห่งชีวิตของประชาชนทุกหมู่ เหล่า และลดเหตุปัจจัยที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการใช้ชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงใน หมู่ประชาชน โดยมีการบูรณาการหน่วยงานของรัฐทำยุทธศาสตร์รณรงค์หลักชีวิตพอเพียงแบบครบวงจรของประชาชน