xs
xsm
sm
md
lg

เอแบคโพลล์เผย “สุพรรณฯ” อยู่แล้วมีความสุขที่สุด “ภูเก็ต” ที่โหล่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน
เอแบคโพลล์เผย “สุพรรณฯ อุตรดิตถ์ พังงา สุโขทัย เพชรบูรณ์” ติดอันดับจังหวัดอยู่แล้วเป็นสุข “ภูเก็ต” ที่โหล่ “นราธิวาส” อยู่แล้วรู้สึกกลัวอาชญากรรม ส่วนเรื่องคอร์รัปชัน กว่าครึ่งเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ห่วงทัศนคติคอร์รัปชันตกที่เยาวชน

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน (Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องจัดอันดับความรู้สึกของประชาชนต่อจังหวัด “อยู่แล้วเป็นสุข” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่พักอาศัยอยู่ใน 77 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 42,538 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2554

ผลสำรวจพบ 10 จังหวัดที่ประชาชนรู้สึกว่า “อยู่แล้วเป็นสุข” มากที่สุด เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีคะแนนความรู้สึกอยู่แล้วเป็นสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 7.83 คะแนน อันดับที่ 2 ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ 7.66 คะแนน อันดับที่ 3 ได้แก่ จังหวัดพังงา ได้ 7.56 อันดับที่ 4 ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย ได้ 7.50 อันดับที่ 5 ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ 7.44 รองๆ ลงไป ได้แก่ จังหวัด สตูล บุรีรัมย์ พิษณุโลก สระแก้ว และพะเยา ตามลำดับ

ผลสำรวจความรู้สึกของประชาชนยังพบว่า 5 จังหวัดสุดท้ายที่ประชาชนรู้สึก “อยู่แล้วเป็นสุข” ได้แก่ อันดับ 73 ได้แก่ จังหวัด สมุทรสงคราม ได้ 6.45 คะแนน อันดับที่ 74 ได้แก่ จังหวัด กระบี่ ได้ 6.41 คะแนน อันดับที่ 75 ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ได้ 6.40 คะแนน อันดับที่ 76 ได้แก่ จังหวัดสงขลา ได้ 6.32 คะแนน อันดับที่ 77 ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ได้ 5.64 คะแนน

เมื่อสอบถามถึงความรู้สึกหวาดกลัวต่ออาชญากรรม พบว่า ประชาชนในจังหวัดนราธิวาส รู้สึกหวาดกลัวต่ออาชญากรรมมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 6.92 รองลงมาอันดับที่ 2 ได้แก่ ระยอง ได้ 6.40 อันดับที่ 3 ได้แก่ สมุทรปราการ ได้ 6.38 อันดับที่ 4 ได้แก่ ปัตตานี ได้ 6.24 อันดับที่ 5 ได้แก่ นนทบุรี ได้ 6.19 อันดับที่ 6 ได้แก่ นครพนม ได้ 6.13 อันดับที่ 7 ได้แก่ สิงห์บุรี ได้ 6.07 อันดับที่ 8 ได้แก่ อุดรธานี ได้ 6.04 อันดับที่ 9 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัด อ่างทอง ได้ 5.92 เท่ากัน

นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 52.7 คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ ร้อยละ 12.3 ระบุไม่แน่ใจและมีเพียงร้อยละ 35.0 ที่ไม่คิดเช่นนั้น

เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการทุจริตคอร์รัปชันในการทำธุรกิจจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายและเพศหญิงคิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันในการทำธุรกิจไม่แตกต่างกัน โดยเพศชาย ร้อยละ 54.0 เพศหญิง ร้อยละ 51.7 ตามลำดับ

เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปคิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ โดยร้อยละ 56.7 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 56.3 อายุ 40-49 ปี และร้อยละ 56.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 47.0 อายุ 20-29 ปี ในขณะที่ร้อยละ 38.9 อายุต่ำกว่า 20 ปี

เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีมีเพียงร้อยละ 37.4 คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ ร้อยละ 15.0 ระบุไม่แน่ใจ ร้อยละ 47.7 ไม่คิดเช่นนั้น ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และปริญญาตรีเกินครึ่งหรือ ร้อยละ 54.1 ต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 51.2 ระดับปริญญาตรี คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ

เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่า ผู้ประกอบอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัวและกลุ่มข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ เกินครึ่งหรือร้อยละ 55.9 และร้อยละ 50.8 คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม นักเรียน นักศึกษา ร้อยละ 42.2 ไม่คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่า ผู้ที่พักอาศัยในภาคกลาง ร้อยละ 60.2 คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ รองลงมา กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 55.5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 54.7 ภาคเหนือ ร้อยละ 46.1 และภาคใต้ ร้อยละ 41.8 ตามลำดับ

ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า หลายจังหวัดของประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีคนรวยพักอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ประชาชนธรรมดาทั่วไปโดยรวมกลับมีความรู้สึก “เป็นสุข” น้อยกว่าจังหวัดอื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นข้อมูลที่นักพัฒนาและผู้บริหารประเทศน่าจะนำไปประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายเพื่อหาแนวทางเพิ่มดัชนีความสุขของประชาชนระดับพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศ

นอกจากนี้ ผลสำรวจครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่าทัศนคติอันตรายต่อการทุจริตคอร์รัปชันกำลังไปอยู่ในกลุ่มเด็กเยาวชนนักเรียน นักศึกษาจำนวนมาก และเป็นปัญหาที่รัฐบาล กลไกหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและภาคประชาสังคมต้องหาแนวทางช่วยกันทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน

“จึงเสนอให้พิจารณาใช้ 4 มาตรการควบคู่กันในการทำให้คนในจังหวัดอยู่เย็นเป็นสุข คือ มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของคนในชุมชน มาตรการเพิ่มความโปร่งใสใช้งบประมาณพัฒนาด้วยการนำรายการใช้จ่ายเปิดเผยต่อสาธารณชนในจังหวัดผ่านเว็บไซต์ วิทยุชุมชน ป้ายโฆษณาและเอกสารแจกจ่ายในหมู่บ้านชุมชนต่างๆ มาตรการการเพิ่มความเข้มงวดในการใช้กฎหมายควบคุมพฤติกรรมไม่ดีของคน และมาตรการไม่เลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การลงทุนประกอบธุรกิจ และปัญหาต่างๆ ของสังคม” ดร.นพดล กล่าว

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 48.4 เป็นชาย ร้อยละ 51.6 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 4.1 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 20.6 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 22.8 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 21.7 อายุระหว่าง 40-49 ปี และ ร้อยละ 30.8 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 69.9 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 26.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 3.3 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 28.2 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 30.8 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 8.2 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 10.5 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 11.2 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 6.2 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 4.9 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ ตัวอย่างร้อยละ 30.0 ระบุรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 28.4 ระบุรายได้ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 13.1 ระบุ 10,001-15,000 บาท ร้อยละ 7.5 ระบุรายได้ 15,001-20,000 บาท และร้อยละ 21.0 ระบุรายได้มากกว่า 20,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น