สปส.พร้อมรับคำตัดสิน หาก กม.ประกันสังคมขัด รธน.เหตุชมรมพิทักษ์สิทธิ์ร้องศาล รธน.ยืนยันสิทธิการรักษา สปส.ด้อยกว่าบัตรทองแค่เรื่องยาเสพติด ด้านสภาลูกจ้างเห็นขัดกับชมรมพิทักษ์สิทธิ์ หวั่นนายจ้างอ้างเหตุนี้ ไม่จ่ายสมทบ
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงกรณีชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตนยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า พ.ร.บ.ประกันสังคมขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ กรณีการจ่ายเงินสมทบเพื่อรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน พร้อมขีดเส้นให้กระทรวงแรงงานแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำดังกล่าวภายใน 30 วัน ว่า ในเรื่องดังกล่าวสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการรัฐสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายประกันสังคมขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีการยื่นเรื่องขอแก้ไขกฎหมายประกันสังคม เพื่อให้เป็นตรงตามคำวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม พร้อมยืนยันว่า การรักษาพยาบาลของประกันสังคมนั้น รักษาในทุกโรคที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.เว้นเพียงแต่กรณียาเสพติด และการส่งเสริมการรักษาสุขภาพ ซึ่งเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้มีการนำเรื่องการส่งเสริมสุขภาพเข้าไปในกฎหมายประกันสังคมด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแก้ และกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวอีกว่า หากผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบไม่ครบภาระก็จะไปตกอยู่ที่นายจ้างที่ต้องนำส่ง หากส่งล่าช้าหรือไม่ครบจำนวนก็จะมีการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายประกันสังคม
ด้านนายมนัส โกศล ประธานองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาองค์การลูกจ้าง 7 แห่ง ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน ที่เรียกร้องให้ผู้ประกันตนเลิกจ่ายเงินสมทบในกรณีรักษาพยาบาล เพราะกรณีดังกล่าวจะส่งผลกับลูกจ้างในสถานประกอบการกว่า 8 ล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้อาจถูกลิดรอนสิทธิ์จากนายจ้าง ฉวยโอกาสไม่จ่ายเงินสมทบในสัดส่วน 1.5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีรักษาพยาบาล ทั้งนี้ ทราบข้อมูลว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวได้รับเงินสนับสนุนจาก สปสช.ซึ่งไม่ใช้ผู้ประกันตนที่แท้จริง จึงอยากให้ทางชมรมฯมาร่วมพูดคุยกับผู้บริหาร สปส.โดยทาง 7 สภาองค์การลูกจ้าง ยินดีเป็นคนกลางในการประสาน
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงกรณีชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตนยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความว่า พ.ร.บ.ประกันสังคมขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ กรณีการจ่ายเงินสมทบเพื่อรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน พร้อมขีดเส้นให้กระทรวงแรงงานแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำดังกล่าวภายใน 30 วัน ว่า ในเรื่องดังกล่าวสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือต่อผู้จัดการรัฐสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายประกันสังคมขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีการยื่นเรื่องขอแก้ไขกฎหมายประกันสังคม เพื่อให้เป็นตรงตามคำวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม พร้อมยืนยันว่า การรักษาพยาบาลของประกันสังคมนั้น รักษาในทุกโรคที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.เว้นเพียงแต่กรณียาเสพติด และการส่งเสริมการรักษาสุขภาพ ซึ่งเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้มีการนำเรื่องการส่งเสริมสุขภาพเข้าไปในกฎหมายประกันสังคมด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแก้ และกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวอีกว่า หากผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบไม่ครบภาระก็จะไปตกอยู่ที่นายจ้างที่ต้องนำส่ง หากส่งล่าช้าหรือไม่ครบจำนวนก็จะมีการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายประกันสังคม
ด้านนายมนัส โกศล ประธานองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาองค์การลูกจ้าง 7 แห่ง ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน ที่เรียกร้องให้ผู้ประกันตนเลิกจ่ายเงินสมทบในกรณีรักษาพยาบาล เพราะกรณีดังกล่าวจะส่งผลกับลูกจ้างในสถานประกอบการกว่า 8 ล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้อาจถูกลิดรอนสิทธิ์จากนายจ้าง ฉวยโอกาสไม่จ่ายเงินสมทบในสัดส่วน 1.5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีรักษาพยาบาล ทั้งนี้ ทราบข้อมูลว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวได้รับเงินสนับสนุนจาก สปสช.ซึ่งไม่ใช้ผู้ประกันตนที่แท้จริง จึงอยากให้ทางชมรมฯมาร่วมพูดคุยกับผู้บริหาร สปส.โดยทาง 7 สภาองค์การลูกจ้าง ยินดีเป็นคนกลางในการประสาน
