นักวิชาการชี้ ต้องแก้มาตรา 39 พ.ร.บ.การออมฯ เพราะทำประชาชนเสียสิทธิ เหตุตั้งเงื่อนไข ไม่คำนวณเงินออมลูกจ้างย้ายงาน บำนาญลดไม่รู้ตัว วอนจัดระบบการออมอย่างเรียบง่าย เท่าเทียม ไม่สร้างเงื่อนไข เครือข่ายบำนาญภาคประชาชน เตรียมยื่นหนังสือต่อวุฒิสภา 8 มี.ค.นี้
จากกรณีวุฒิสภามีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ... ที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (วุฒิสภา) แต่พบว่า มาตรา 39 ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีข้อจำกัด คือ หากแรงงานนอกระบบย้ายเข้าระบบใดระบบหนึ่ง แม้จะสามารถออมเงินต่อได้ แต่จะไม่นำมาคำนวณในภายหลัง ทำให้แรงงานได้รับบำนาญไม่เพียงพอต่อการยังชีพและต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ข้อจำกัดดังกล่าวจะทำให้เกิดผลเสียโดยตรงกับประชาชน เพราะโดยธรรมชาติของแรงงานนอกระบบมักมีรายได้น้อยกว่าคนทั่วไป และมีการแสวงหาโอกาสใหม่ที่ดีกว่าเสมอ ทำให้เกิดการย้ายงานอยู่บ่อยครั้ง การสร้างเงื่อนไข ว่า เมื่อย้ายงานไปเข้าระบบประกันสังคมแล้ว สามารถออมต่อได้ แต่เงินส่วนนี้จะไม่ถูกนำมาคำนวณในการจ่ายบำนาญนั้น จะทำให้เมื่อแรงงานอายุ 60 ปี จะไม่ได้รับเงินบำนาญเพียงพอต่อการดำรงชีพ แถมยังมีเงื่อนไขว่า หากคำนวณแล้วบำนาญที่ได้รับต่ำกว่าที่รัฐบาลให้กับผู้สูงวัย จะให้ได้รับบำนาญแค่ในส่วนที่แรงงานออมไว้ (เงินออมหมดเมื่อไร ก็หยุดจ่ายบำนาญ) นอกจากนี้ ระบบที่รัฐสร้างขึ้นยังมีค่าบริหารจัดการราคาแพงมาก เพราะนำไปใช้ในการตรวจสอบสิทธิของประชาชน ทำให้เบียดเงินออมของประชาชนที่ควรจะได้รับให้น้อยลงไปอีก
“ขณะนี้แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ามีเงื่อนไขเหล่านี้เกิดขึ้น เปรียบเสมือนสินค้าลดราคาในห้าง ที่เมื่อไปถึงห้างจึงจะรู้ว่าการลดราคานั้นมีเงื่อนไข รัฐบาลควรสร้างระบบการออมที่เรียบง่าย ปฏิบัติต่อประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และลดต้นทุนการบริหารจัดการเพื่อให้เงินถึงประชาชนอย่างแท้จริง ขณะนี้วุฒิสภา ยังสามารถท้วงติงได้และแก้ไขกฎหมายได้ เพราะหากปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่มีการแก้ไข ประชาชนจะได้รับผลเสียที่สุด และหากรัฐบาลเพิกเฉยก็หมายความว่าประชาชนคงไม่สามารถเชื่อใจรัฐบาลชุดนี้ได้” ดร.วรวรรณ กล่าว
รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจำกัดสิทธิแรงงานที่ย้ายงานไปมานั้น ถือว่าขัดต่อสภาพความเป็นจริง ซึ่งกลุ่มแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่จะมีรายได้ต่ำกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ การสร้างเงื่อนไขเพื่อป้องกันเรื่องผลประโยชน์ซ้ำซ้อนนั้น ต้องพิจารณาว่า เงินที่กลุ่มคนดังกล่าวได้รับจากรัฐมีจำนวนไม่มากอยู่แล้ว การสร้างกฎเกณฑ์ใดๆ จึงควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการสร้างระบบการออมเงินเพื่อระบบบำนาญตลอดชีพสำหรับผู้มีรายได้น้อยเป็นที่ตั้ง และสร้างระบบที่มีความเป็นธรรมและเสมอภาค
ทั้งนี้ เครือข่ายบำนาญภาคประชาชน จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ (วุฒิสภา) ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา เพื่อขอให้มีการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ... ในมาตรา 39 เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันเงินบำนาญให้กับแรงงานนอกระบบอย่างแท้จริง
จากกรณีวุฒิสภามีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ... ที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (วุฒิสภา) แต่พบว่า มาตรา 39 ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีข้อจำกัด คือ หากแรงงานนอกระบบย้ายเข้าระบบใดระบบหนึ่ง แม้จะสามารถออมเงินต่อได้ แต่จะไม่นำมาคำนวณในภายหลัง ทำให้แรงงานได้รับบำนาญไม่เพียงพอต่อการยังชีพและต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ข้อจำกัดดังกล่าวจะทำให้เกิดผลเสียโดยตรงกับประชาชน เพราะโดยธรรมชาติของแรงงานนอกระบบมักมีรายได้น้อยกว่าคนทั่วไป และมีการแสวงหาโอกาสใหม่ที่ดีกว่าเสมอ ทำให้เกิดการย้ายงานอยู่บ่อยครั้ง การสร้างเงื่อนไข ว่า เมื่อย้ายงานไปเข้าระบบประกันสังคมแล้ว สามารถออมต่อได้ แต่เงินส่วนนี้จะไม่ถูกนำมาคำนวณในการจ่ายบำนาญนั้น จะทำให้เมื่อแรงงานอายุ 60 ปี จะไม่ได้รับเงินบำนาญเพียงพอต่อการดำรงชีพ แถมยังมีเงื่อนไขว่า หากคำนวณแล้วบำนาญที่ได้รับต่ำกว่าที่รัฐบาลให้กับผู้สูงวัย จะให้ได้รับบำนาญแค่ในส่วนที่แรงงานออมไว้ (เงินออมหมดเมื่อไร ก็หยุดจ่ายบำนาญ) นอกจากนี้ ระบบที่รัฐสร้างขึ้นยังมีค่าบริหารจัดการราคาแพงมาก เพราะนำไปใช้ในการตรวจสอบสิทธิของประชาชน ทำให้เบียดเงินออมของประชาชนที่ควรจะได้รับให้น้อยลงไปอีก
“ขณะนี้แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ามีเงื่อนไขเหล่านี้เกิดขึ้น เปรียบเสมือนสินค้าลดราคาในห้าง ที่เมื่อไปถึงห้างจึงจะรู้ว่าการลดราคานั้นมีเงื่อนไข รัฐบาลควรสร้างระบบการออมที่เรียบง่าย ปฏิบัติต่อประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน และลดต้นทุนการบริหารจัดการเพื่อให้เงินถึงประชาชนอย่างแท้จริง ขณะนี้วุฒิสภา ยังสามารถท้วงติงได้และแก้ไขกฎหมายได้ เพราะหากปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่มีการแก้ไข ประชาชนจะได้รับผลเสียที่สุด และหากรัฐบาลเพิกเฉยก็หมายความว่าประชาชนคงไม่สามารถเชื่อใจรัฐบาลชุดนี้ได้” ดร.วรวรรณ กล่าว
รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจำกัดสิทธิแรงงานที่ย้ายงานไปมานั้น ถือว่าขัดต่อสภาพความเป็นจริง ซึ่งกลุ่มแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่จะมีรายได้ต่ำกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ การสร้างเงื่อนไขเพื่อป้องกันเรื่องผลประโยชน์ซ้ำซ้อนนั้น ต้องพิจารณาว่า เงินที่กลุ่มคนดังกล่าวได้รับจากรัฐมีจำนวนไม่มากอยู่แล้ว การสร้างกฎเกณฑ์ใดๆ จึงควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการสร้างระบบการออมเงินเพื่อระบบบำนาญตลอดชีพสำหรับผู้มีรายได้น้อยเป็นที่ตั้ง และสร้างระบบที่มีความเป็นธรรมและเสมอภาค
ทั้งนี้ เครือข่ายบำนาญภาคประชาชน จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ (วุฒิสภา) ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา เพื่อขอให้มีการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ... ในมาตรา 39 เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันเงินบำนาญให้กับแรงงานนอกระบบอย่างแท้จริง