ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผอ.ศูนย์อสังหาริมทรัพย์ ธอส.เชื่อ อนาคตตลาดที่อยู่อาศัยเชียงใหม่มีแนวโน้มสดใส ชี้ เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของภาคเหนือและโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคพร้อมรองรับ พบความต้องการลูกค้าที่อยู่อาศัยนิยมซื้อบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากสุด คาดผู้ประกอบการส่วนกลางเตรียมพาเหรดเข้ามาลงทุนผุดโครงการเพิ่มขึ้น
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ในระหว่างการขายของจังหวัดเชียงใหม่ ในการสัมมนาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดเชียงใหม่ปี 2554” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.54 ว่า จากการสำรวจข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ ณ กันยายน 2553 พบว่ามีหน่วยในผังโครงการทั้งหมด 21,983 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 12,560 หน่วย อาคารชุด 1,566 หน่วย บ้านพักตากอากาศ 89 หน่วย บ้านเอื้ออาทร 3,457 หน่วย และอาคารชุดเอื้ออาทร 4,311 หน่วย
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน12,560 หน่วยนั้น มีมูลค่าการขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 34,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอสันทราย อำเภอดอยสะเก็ด และอำเภอสันกำแพง โดยประเภทของบ้านที่นิยมเปิดขายจะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดิน70-90 ตารางวา ขนาดเนื้อที่ใช้สอย 160-180 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ในช่วง 1-3 ล้านบาท ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นหน่วยที่ขายไปแล้ว 8,141 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ในจำนวนนี้เป็นหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 จำนวน 312 หน่วย และเหลือขายอีก 4,419 หน่วย
ขณะที่สถานะการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 5,125 หน่วย หรือร้อยละ 41 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 640 หน่วย หรือร้อยละ 5 และสร้างเสร็จแล้ว 6,795 หน่วย หรือร้อยละ 54 โดยบ้านที่สร้างเสร็จแล้วเหลือขายมีจำนวน 577 หน่วย
สำหรับอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายมีจำนวน 1,566 หน่วย มีมูลค่าการขายประมาณ 5,000 ล้านบาท เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอเมือง ส่วนใหญ่เป็นอาคารสูงไม่เกิน 8 ชั้น ประเภทห้องชุดที่ได้รับความนิยมเป็นแบบห้องชุด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 35-100 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ในช่วง 1-3 ล้านบาท โดยพบว่าเป็นหน่วยที่ขายไปแล้ว 1,038 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ในจำนวนนี้เป็นหน่วยที่ขายได้ในช่วงไตรมาสที่ 3ของปี 2553 จำนวน 92 หน่วย และเหลือขาย 528 หน่วย หรือร้อยละ 34 ส่วนสถานะการก่อสร้างพบว่าเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 284 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 557 หน่วย และก่อสร้างเสร็จแล้ว 725 หน่วย โดมีหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จเหลือขายจำนวน 87 หน่วย
ขณะที่บ้านพักตากอากาศ หรือวิลล่า ในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 3 โครงการ รวม 89 หน่วย อยู่ในอำเภอแม่ริม และอำเภอเมือง ขายได้เพียง 9 หน่วย เหลือขายอีก 80 หน่วย ซึ่งในจำนวนนี้มีหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จแล้วเหลือขาย 30 หน่วย
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่พัฒนาโดยการเคหะแห่งชาตินั้น พบว่ามีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายเป็นบ้านเอื้ออาทร 3 โครงการ 2,579 หน่วย ตั้งอยู่ในอำเภอสันกำแพง อำเภอสันป่าตองและอำเภอสันทราย มีหน่วยเหลือขายในช่วงสำรวจจำนวน 553 หน่วย ซึ่งก่อสร้างเสร็จหมดแล้ว และอาคารชุดเอื้ออาทรที่ยังอยู่ระหว่างการขายมีจำนวน 5 โครงการ รวม 4,311 หน่วย อยู่ในอำเภอเมืองและอำเภอหางดง ในจำนวนนี้เหลือขาย 349 หน่วย เป็นหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 43 หน่วย และยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 306 หน่วย
ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บอกด้วยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ นับว่า มีศักยภาพสูงพร้อมที่ขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากเป็นเมืองที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของภาคเหนือ รวมทั้งมีโครงการพัฒนาต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการธุรกิจที่อยู่อาศัยจากส่วนกลางจะเข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้นด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ในอนาคต โดยการที่ผู้ประกอบการจากส่วนกลางเข้ามาลงทุนน่าจะส่งผลดีทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันมากขึ้น และผู้ประกอบการท้องถิ่นมีการพัฒนาขึ้น พร้อมรับเอาเทคโนโลยีใหม่มาใช้มากขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค
ด้านนายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ อุปนายกฝ่ายสิทธิประโยชน์ สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ถือว่ามีการขยายตัวในระดับที่ดีมาก เห็นได้จากที่อยู่อาศัยที่เปิดขายแล้วสามารถขายได้แล้วในอัตราที่สูงมากและเหลือขายไม่มากนัก ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวและอาคารชุดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยระดับราคาที่เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากที่สุดจะอยู่ในระหว่าง1.5-3 ล้านบาท
ส่วนผลสืบเนื่องจากการที่ราคาสินค้าทุกประเภท รวมทั้งวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น นายกิตติวัฒน์ ยอมรับว่า ทำให้ต้นทุนและราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาขายที่อยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น จะเป็นในลักษณะของการปรับลดขนาดพื้นที่ใช้สอยลงแทนที่จะปรับเพิ่มราคาขาย เพื่อคงระดับราคาให้อยู่ในระหว่าง 1.5-3 ล้านบาท ตามความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่
นอกจากนี้ อุปนายกฝ่ายสิทธิประโยชน์ สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน แสดงความเห็นว่า ทางรัฐบาลน่าจะมีการดำเนินมาตรการในการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง หลังเคยออกมาตรการในครั้งก่อนได้ผลเป็นอย่างดี โดยอาจดำเนินการมาตรการทั้งด้านภาษีหรือกฎหมายผังเมืองที่เอื้อต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขายตัวเศรษฐกิจในภาพรวมไปพร้อมกันด้วย
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ในระหว่างการขายของจังหวัดเชียงใหม่ ในการสัมมนาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดเชียงใหม่ปี 2554” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.54 ว่า จากการสำรวจข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ ณ กันยายน 2553 พบว่ามีหน่วยในผังโครงการทั้งหมด 21,983 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 12,560 หน่วย อาคารชุด 1,566 หน่วย บ้านพักตากอากาศ 89 หน่วย บ้านเอื้ออาทร 3,457 หน่วย และอาคารชุดเอื้ออาทร 4,311 หน่วย
ทั้งนี้ บ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน12,560 หน่วยนั้น มีมูลค่าการขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 34,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอสันทราย อำเภอดอยสะเก็ด และอำเภอสันกำแพง โดยประเภทของบ้านที่นิยมเปิดขายจะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดิน70-90 ตารางวา ขนาดเนื้อที่ใช้สอย 160-180 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ในช่วง 1-3 ล้านบาท ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นหน่วยที่ขายไปแล้ว 8,141 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ในจำนวนนี้เป็นหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 จำนวน 312 หน่วย และเหลือขายอีก 4,419 หน่วย
ขณะที่สถานะการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 5,125 หน่วย หรือร้อยละ 41 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 640 หน่วย หรือร้อยละ 5 และสร้างเสร็จแล้ว 6,795 หน่วย หรือร้อยละ 54 โดยบ้านที่สร้างเสร็จแล้วเหลือขายมีจำนวน 577 หน่วย
สำหรับอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายมีจำนวน 1,566 หน่วย มีมูลค่าการขายประมาณ 5,000 ล้านบาท เกือบทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอเมือง ส่วนใหญ่เป็นอาคารสูงไม่เกิน 8 ชั้น ประเภทห้องชุดที่ได้รับความนิยมเป็นแบบห้องชุด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 35-100 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ในช่วง 1-3 ล้านบาท โดยพบว่าเป็นหน่วยที่ขายไปแล้ว 1,038 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ในจำนวนนี้เป็นหน่วยที่ขายได้ในช่วงไตรมาสที่ 3ของปี 2553 จำนวน 92 หน่วย และเหลือขาย 528 หน่วย หรือร้อยละ 34 ส่วนสถานะการก่อสร้างพบว่าเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 284 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 557 หน่วย และก่อสร้างเสร็จแล้ว 725 หน่วย โดมีหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จเหลือขายจำนวน 87 หน่วย
ขณะที่บ้านพักตากอากาศ หรือวิลล่า ในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 3 โครงการ รวม 89 หน่วย อยู่ในอำเภอแม่ริม และอำเภอเมือง ขายได้เพียง 9 หน่วย เหลือขายอีก 80 หน่วย ซึ่งในจำนวนนี้มีหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จแล้วเหลือขาย 30 หน่วย
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่พัฒนาโดยการเคหะแห่งชาตินั้น พบว่ามีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายเป็นบ้านเอื้ออาทร 3 โครงการ 2,579 หน่วย ตั้งอยู่ในอำเภอสันกำแพง อำเภอสันป่าตองและอำเภอสันทราย มีหน่วยเหลือขายในช่วงสำรวจจำนวน 553 หน่วย ซึ่งก่อสร้างเสร็จหมดแล้ว และอาคารชุดเอื้ออาทรที่ยังอยู่ระหว่างการขายมีจำนวน 5 โครงการ รวม 4,311 หน่วย อยู่ในอำเภอเมืองและอำเภอหางดง ในจำนวนนี้เหลือขาย 349 หน่วย เป็นหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 43 หน่วย และยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 306 หน่วย
ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บอกด้วยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ นับว่า มีศักยภาพสูงพร้อมที่ขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากเป็นเมืองที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของภาคเหนือ รวมทั้งมีโครงการพัฒนาต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการธุรกิจที่อยู่อาศัยจากส่วนกลางจะเข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้นด้วย ยิ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ในอนาคต โดยการที่ผู้ประกอบการจากส่วนกลางเข้ามาลงทุนน่าจะส่งผลดีทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันมากขึ้น และผู้ประกอบการท้องถิ่นมีการพัฒนาขึ้น พร้อมรับเอาเทคโนโลยีใหม่มาใช้มากขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค
ด้านนายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ อุปนายกฝ่ายสิทธิประโยชน์ สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดเชียงใหม่ถือว่ามีการขยายตัวในระดับที่ดีมาก เห็นได้จากที่อยู่อาศัยที่เปิดขายแล้วสามารถขายได้แล้วในอัตราที่สูงมากและเหลือขายไม่มากนัก ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวและอาคารชุดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยระดับราคาที่เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากที่สุดจะอยู่ในระหว่าง1.5-3 ล้านบาท
ส่วนผลสืบเนื่องจากการที่ราคาสินค้าทุกประเภท รวมทั้งวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น นายกิตติวัฒน์ ยอมรับว่า ทำให้ต้นทุนและราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาขายที่อยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น จะเป็นในลักษณะของการปรับลดขนาดพื้นที่ใช้สอยลงแทนที่จะปรับเพิ่มราคาขาย เพื่อคงระดับราคาให้อยู่ในระหว่าง 1.5-3 ล้านบาท ตามความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่
นอกจากนี้ อุปนายกฝ่ายสิทธิประโยชน์ สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน แสดงความเห็นว่า ทางรัฐบาลน่าจะมีการดำเนินมาตรการในการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง หลังเคยออกมาตรการในครั้งก่อนได้ผลเป็นอย่างดี โดยอาจดำเนินการมาตรการทั้งด้านภาษีหรือกฎหมายผังเมืองที่เอื้อต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขายตัวเศรษฐกิจในภาพรวมไปพร้อมกันด้วย