สปส.เร่งแก้ กม.ช่วยผู้ประกันตนได้สิทธิครอบคลุม คาดมีผลกลางปีนี้นักวิชาการ เผยมีผู้ประกันตน 9.4 ล้านคนที่ต้องจ่ายเงินค่ารายหัวเรื่องสุขภาพ ขณะที่ ส.ส.-ส.ว.-ขรก.ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมกลับได้รับการดูแลสวัสดิการสุขภาพฟรี พร้อมเสนอให้โอนสิทธิการรักษาพยาบาลเข้าหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้านแพทย์ สปส.ระบุกำลังเร่งแก้กฎหมายเพื่อให้ผู้ประกันตนรับสิทธิ คาดกลางปีนี้มีผลบังคับใช้
วันนี้ (6 มี.ค.)ที่โรงแรมสยามซิตี สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกับชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนจัดเสวนา “ร่วมหาทางออก สร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกันตน” โดย นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข กล่าวถึงสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนว่า ขณะนี้ผู้ประกันตนจำนวน 9.4 ล้านคน เป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินค่ารายหัวเรื่องสุขภาพ แต่ประชาชนของประเทศนับตั้งแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการ ประชาชนที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมกลับได้รับการดูแลสวัสดิการสุขภาพฟรี อีกทั้งสามารถเบิกได้ครอบคลุมมากกว่าผู้ประกันตนด้วย ถือเป็นความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เป็นธรรมแก่คนกลุ่มนี้
นพ.พงศธรกล่าวต่อว่า ทางออกเรื่องนี้ไม่ยาก ต้องการให้มองว่าผู้ประกันตนเป็นผู้ถือบัตรสิทธิประโยชน์ 2 ใบ ใบหนึ่งคือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่เขาควรได้รับสิทธิเหมือนคนอื่นๆ ส่วนใบที่ 2 ซึ่งเป็นเงินที่เขาจ่ายไปควรได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นเหมือนผู้ซื้อประกัน เช่น กรณีคลอดบุตรที่ได้รับเงินรายละ 13,000 บาท ควรจะเป็นเงินที่เขาได้เก็บไว้เป็นขวัญถุงไว้เลี้ยงดูบุตร ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลรัฐควรจะเป็นผู้จ่ายให้ แต่ข้อเท็จจริงเงินจำนวนนี้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง และอื่นๆ เรื่องนี้ตนไม่ต้องการออกมาเรียกร้องรัฐบาล เพียงแต่ต้องการให้ผู้ประกันตนรวมตัวออกมาเรียกร้องสิทธิ เนื่องจากขณะนี้กฎหมายประกันสังคมอยู่ในสภาฯ เพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญต้องการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ด้วยการโอนสิทธิการรักษาพยาบาลไปยังหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปัญหาการเหลื่อมล้ำทางสิทธิการรักษาก็จะหมดไป
ขณะที่ นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า เรื่องสิทธิประโยชน์ของประกันสังคม ขณะนี้ติดขั้นตอนการแก้กฎหมายให้สิทธิการรักษาพยาบาลครอบคลุม ซึ่งทางคณะกรรมการประกันสังคมกำลังเร่งดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการเบิกค่ารักษาจากการปลูกถ่ายไต ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โรคมะเร็ง ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายต้องใช้ระยะเวลาบ้างในการดำเนินการ คาดว่าเร็วที่สุดน่าจะเสร็จออกมาประกาศใช้ได้ราวกลางปีนี้ รับรองว่าสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมให้กับทุกคนแน่นอน
