xs
xsm
sm
md
lg

พบควันธูปมีสารก่อมะเร็ง เตือนวัดมีพิษสูงถึง 63 เท่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
สธ.เตรียมตั้ง คกก.หารือแนวทางรณรงค์ให้ความรู้อันตรายจากควันธูป คาด 1 สัปดาห์รู้ผล หมอชี้ผลวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พบธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด เตือนในวัดมีสารก่อมะเร็งพุ่งสูงกว่าที่อื่น 63 เท่า

จากกรณีที่ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงบรรยายปาฐกถาพิเศษ Oncology หรือการศึกษาและการรักษาด้านเนื้องอกของร่างกาย ที่โรงพยาบาลราชวิถี มีใจความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงอันตรายจากควันธูปนั้น

ล่าสุด วานนี้ (22 ก.พ.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีความเป็นห่วงประชาชนในเรื่องอันตรายจากควันธูป และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมน้อมรับด้วยเกล้า โดยหลังจากนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข จะตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อหาแนวทางในการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายจากควันธูป คาดว่า ภายใน 1สัปดาห์จะได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร

นายจุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ธูปทำมาจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ไม้หอม ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันหอม พอกอยู่บนก้านไม้ ธูปมีหลายขนาด สามารถเผาหมดใน 20 นาที จนถึง 3 วัน มีการคาดการณ์ว่า แต่ละปีมีคนจุดธูปปีละประมาณ 1 หมื่นตัน ถึง 1 แสนตัน ซึ่งการเผาไหม้ของธูปจะปล่อยสารต่างๆ ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และสารก่อมะเร็งหลายชนิด เช่น สาร PAH ซึ่งมีความสัมพันธ์กับมะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สารเบนซีน สัมพันธ์กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว และสาร 1, 3-บิวทาไดอีน สัมพันธ์กับมะเร็งของระบบเลือด

ด้าน นพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปตามที่ รมว.สธ.ได้ให้ข้อมูลโดยทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเร่งการประชุมหารือเพื่อปรับปรุงเป็นนโยบายเชิงรุก เกี่ยวกับการเตือนอันตรายของสารพิษจากควันธูป โดยอาจจะเป็นการออกเป็นเอกสารความรู้ให้ประชาชนได้รับทราบ เช่น การแนะนำให้ประชาชนไม่จุดธูปในที่อับ หรือนั่งอยู่ ในบริเวณที่มีการจูดธูปเป็นเวลานาน เป็นต้น เนื่องจากสถานการณ์มะเร็งขณะนี้น่าห่วง เพราะเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยสูงที่สุดราวปีละ 70,000 ราย และมีผู้ป่วยรายใหม่ราว 30,000 ราย ซึ่งหลายหน่วยงานทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และศูนย์มะเร็งอีก 7 แห่งทั่วประเทศก็พยายามจะเดินหน้าเพื่อควบคุมสถานการณ์ของโรคดังกล่าว

ขณะที่ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ กล่าวว่า ตนและ น.ส.พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้เคยร่วมกันทำงานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายของควันธูปเมื่อปี 2551 พบว่าควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน มีส่วนประกอบมาจากกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอมและสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม เป็นต้น โดยสารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาว และน้ำหอม เป็นสำคัญ โดยธูป 1 ดอก จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325 กรัม และก๊าซมีเทน 7 กรัม ซึ่งมีศักยภาพเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 23 เท่า

นพ.มนูญ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีสารพิษอื่นๆ อีก ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจหาสารก่อมะเร็ง บริเวณวัด 3 แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และ สมุทรปราการ ซึ่งเป็นวัดดังและมีผู้คนนิยมไปกราบไหว้มาก โดยได้สำรวจคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน โดยการตรวจเลือดและปัสสาวะ พบว่า คนงานที่ทำงานในวัดทั้งหมด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าคนที่ไม่ทำงานในวัดถึง 4 เท่า ขณะที่สารบิวทาไดอีน สูงกว่า 260 เท่า และสารในกลุ่มพีเอเอช จำพวกฟาร์มาลดีไฮด์ พบสูงกว่า 12 เท่า

“นอกจากนี้ ยังพบสารเบโซเอไพรีน ซึ่งเป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูงสุด โดยพบว่าในวัดมีสารดังกล่าวสูงกว่าสถานที่ที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า แสดงให้เห็นว่า ควันธูปในวัดส่งผลอันตรายต่อประชาชน โดยเฉพาะกับพระสงฆ์ คนงานที่ทำงานในวัด ทั้งนี้ ผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Chemico biological/ interactions ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551” นพ.มนูญ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น