หมออายุรกรรม โอดถูกกรมบัญชีกลางเล่นงาน จนถูกเด้งออกจากศูนย์แพทย์พัฒนา เหตุจ่ายยาเกินจำเป็น ขู่อาจเรียกเก็บเงินคืน 1.4 ล้าน เ ร้องขอความเป็นธรรม ด้าน ป.ป.ท.ขอเวลาตรวจสอบหมอทำผิด คาด 1 เดือนรู้ผล
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 นพ.เกรียงไกร สาระคุณ อดีตแพทย์อายุรกรรมประจำคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินงานของกรมบัญชีกลางในการตรวจสอบการใช้จ่ายยา โดยกรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือมายังศูนย์การแพทย์พัฒนา ว่า พบการใช้จ่ายยาเกินความจำเป็น และมีการเรียกเงินคืนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6 ล้านบาท โดยในส่วนของตนนั้นประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลของการใช้จ่ายยาเกินนั้นกลับดูไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่มีการเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปสอบถามข้อเท็จจริง แต่ตรวจสอบจากเวชระเบียนของคนไข้แทน ซึ่งให้เหตุผลว่า ตนมีการวินิจฉัยโรคไม่เหมาะสม ใช้จ่ายยาไม่สอดคล้องกับโรค ทั้งๆที่ความเป็นจริงผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางรายจำเป็นต้องได้รับยาที่มากกว่า 1 รายการ เนื่องจากหากยาตัวเดิมรักษาไม่ได้ผล จำเป็นต้องให้ยาเสริม แต่หากไม่ได้รับอาจส่งผลให้อาการทรุดลง แต่กรมบัญชีกลางกลับไม่ฟังเหตุผลดังกล่าว และได้เรียกเงินคืนไปแล้ว ขณะเดียวกันคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาฯ ก็ทำเรื่องขอให้ตนออกจากการเป็นแพทย์อายุรกรรมด้วย
“เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง อ้างว่า ผมเขียนข้อบ่งชี้การใช้ยาไม่ชัด อ่านไม่ออก ให้ถือว่าไม่ได้เขียนบ่งชี้ไว้ ซึ่งไม่ใช่เหตุผล อีกทั้งการสั่งจ่ายยาตามกรมบัญชีกลางโดยไม่คำนึงถึงชีวิตผู้ป่วย ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้ดี เพราะกฎที่ออกมาไม่เพียงแต่ส่งผลให้คนไข้มีอาการทรุดลง ยังส่งผลให้แพทย์ไม่กล้าสั่งจ่ายยา ไม่กล้ารักษา ซ้ำร้ายยังสร้างความเดือดร้อนให้แพทย์ เหมือนกรณีผมที่ถูกให้ออกจากงาน แถมยังถูกทางคลินิกศูนย์การแพทย์พัฒนาขู่ว่าจะมีการเรียกเงินคืน จึงอยากขอความเป็นธรรม” นพ.เกรียงไกร กล่าว
ด้าน น.ส.สายสุณี วันแพ อายุ 46 ปี ญาติของผู้ป่วยในความรับผิดชอบของ นพ.เกรียงไกร กล่าวว่า บิดาของตนเป็นอดีตข้าราชการอายุ 82 ปี ป่วยด้วยโรคกระเพาะ ไต และความดัน รักษาตัวกับ นพ.เกรียงไกร มานานเกือบ 3 ปี ตลอดระยะเวลานั้นหมอได้สั่งจ่ายยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บิดาของตนมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พอเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา หมอคนใหม่กลับสั่งระงับยาที่เคยได้รับทั้งหมด บิดาจึงมีอาการทรุดลงเรื่อยๆและขณะนี้ก็ลุกเดินไม่ได้ ตนจึงอยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำตัว นพ.เกรียงไกร กลับมา เพราะมั่นใจว่า ไม่มีแพทย์อายุรกรรมที่เก่ง และดีเท่าหมอท่านนี้อีกแล้ว
นายอำพล วงศ์ศิริ รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะรักษาการ ป.ป.ท.กล่าวว่า ป.ป.ท.ได้รับเรื่องจากกรมบัญชีกลางให้ดำเนินการตรวจสอบการสั่งจ่ายยาของแพทย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า มีแพทย์จำนวนกี่คนเข้าข่ายกรณีนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบภายใน 1 สัปดาห์นับจากนี้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ได้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี โดยกรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือส่งถึงโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ว่า มีแพทย์ทำการสั่งจ่ายยาเกินความจำเป็น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร แพทย์อายุรกรรม จนส่งผลให้กลุ่มผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการไม่พอใจ และออกมาเรียกร้อง ทำให้ต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
นพ.ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ขณะนี้คณะกรรมการอยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยได้เรียกตัวพญ.นภาพร เพื่อมาให้รายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าจะได้ผลสรุปแน่ชัดภายใน 1-2 วันนี้
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 นพ.เกรียงไกร สาระคุณ อดีตแพทย์อายุรกรรมประจำคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินงานของกรมบัญชีกลางในการตรวจสอบการใช้จ่ายยา โดยกรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือมายังศูนย์การแพทย์พัฒนา ว่า พบการใช้จ่ายยาเกินความจำเป็น และมีการเรียกเงินคืนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6 ล้านบาท โดยในส่วนของตนนั้นประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลของการใช้จ่ายยาเกินนั้นกลับดูไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่มีการเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปสอบถามข้อเท็จจริง แต่ตรวจสอบจากเวชระเบียนของคนไข้แทน ซึ่งให้เหตุผลว่า ตนมีการวินิจฉัยโรคไม่เหมาะสม ใช้จ่ายยาไม่สอดคล้องกับโรค ทั้งๆที่ความเป็นจริงผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางรายจำเป็นต้องได้รับยาที่มากกว่า 1 รายการ เนื่องจากหากยาตัวเดิมรักษาไม่ได้ผล จำเป็นต้องให้ยาเสริม แต่หากไม่ได้รับอาจส่งผลให้อาการทรุดลง แต่กรมบัญชีกลางกลับไม่ฟังเหตุผลดังกล่าว และได้เรียกเงินคืนไปแล้ว ขณะเดียวกันคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาฯ ก็ทำเรื่องขอให้ตนออกจากการเป็นแพทย์อายุรกรรมด้วย
“เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง อ้างว่า ผมเขียนข้อบ่งชี้การใช้ยาไม่ชัด อ่านไม่ออก ให้ถือว่าไม่ได้เขียนบ่งชี้ไว้ ซึ่งไม่ใช่เหตุผล อีกทั้งการสั่งจ่ายยาตามกรมบัญชีกลางโดยไม่คำนึงถึงชีวิตผู้ป่วย ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้ดี เพราะกฎที่ออกมาไม่เพียงแต่ส่งผลให้คนไข้มีอาการทรุดลง ยังส่งผลให้แพทย์ไม่กล้าสั่งจ่ายยา ไม่กล้ารักษา ซ้ำร้ายยังสร้างความเดือดร้อนให้แพทย์ เหมือนกรณีผมที่ถูกให้ออกจากงาน แถมยังถูกทางคลินิกศูนย์การแพทย์พัฒนาขู่ว่าจะมีการเรียกเงินคืน จึงอยากขอความเป็นธรรม” นพ.เกรียงไกร กล่าว
ด้าน น.ส.สายสุณี วันแพ อายุ 46 ปี ญาติของผู้ป่วยในความรับผิดชอบของ นพ.เกรียงไกร กล่าวว่า บิดาของตนเป็นอดีตข้าราชการอายุ 82 ปี ป่วยด้วยโรคกระเพาะ ไต และความดัน รักษาตัวกับ นพ.เกรียงไกร มานานเกือบ 3 ปี ตลอดระยะเวลานั้นหมอได้สั่งจ่ายยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บิดาของตนมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พอเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา หมอคนใหม่กลับสั่งระงับยาที่เคยได้รับทั้งหมด บิดาจึงมีอาการทรุดลงเรื่อยๆและขณะนี้ก็ลุกเดินไม่ได้ ตนจึงอยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำตัว นพ.เกรียงไกร กลับมา เพราะมั่นใจว่า ไม่มีแพทย์อายุรกรรมที่เก่ง และดีเท่าหมอท่านนี้อีกแล้ว
นายอำพล วงศ์ศิริ รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะรักษาการ ป.ป.ท.กล่าวว่า ป.ป.ท.ได้รับเรื่องจากกรมบัญชีกลางให้ดำเนินการตรวจสอบการสั่งจ่ายยาของแพทย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า มีแพทย์จำนวนกี่คนเข้าข่ายกรณีนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบภายใน 1 สัปดาห์นับจากนี้
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ได้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี โดยกรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือส่งถึงโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ว่า มีแพทย์ทำการสั่งจ่ายยาเกินความจำเป็น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร แพทย์อายุรกรรม จนส่งผลให้กลุ่มผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการไม่พอใจ และออกมาเรียกร้อง ทำให้ต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
นพ.ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ขณะนี้คณะกรรมการอยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยได้เรียกตัวพญ.นภาพร เพื่อมาให้รายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าจะได้ผลสรุปแน่ชัดภายใน 1-2 วันนี้