ผู้ปกครองนำหลานชาย ร้องสื่อ ศธ.โดนครู ผู้จัดการโรงเรียนลงโทษเกินกว่าเหตุ ใช้ไม้ระนาด-ไม้เรียว ตีก้นจนไม้หัก เกิดแผลฟกซ้ำ บวมเห็นได้ชัด ระบุเด็กกลัวจนไม่กล้าไปเรียน เผยเข้าแจ้งความเอาเรื่องถึงที่สุด ด้าน สช.เตรียมตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมดูแลหากประสงค์ขอย้าย ขณะที่ ผู้จัดการ ร.ร.รับลงโทษจริง ยัน เด็กดื้อ ไม่สนใจเรียน จนครูบ่นกันทั่ว เตรียมดำเนินการให้หากจะขอย้าย ย้ำ มีเจตนาดี ไร้อคติ
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ห้องสื่อมวลชนกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. นางสาคร แจ่มจำรัส อายุ 53 ปี ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน โดยเล่าเหตุการณ์ให้สื่อมวลชนฟังว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ด.ช.กุ๊ก (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ชั้นป.1 โรงเรียนกรุงเทพวิเทศศึกษา เขตดอนเมือง กทม. ซึ่งเป็นหลาน ถูกครูสอนวิชาดนตรีไทยใช้ไม้ระนาดเคาะข้อมือ และยังถูกผู้จัดการโรงเรียนลงโทษด้วยการตีด้วยไม้เรียวอีก 7 ครั้ง ที่บริเวณก้นจนไม้หัก ซึ่งจากการสอบถาม ด.ช.กุ๊ก ได้เล่าให้ฟังว่า ในระหว่างที่เรียนวิชาดนตรีไทยอยู่นั้น ได้เล่นหยอกล้อกับเพื่อน ทำให้ครูไม่พอใจ และลงโทษโดยการใช้ด้ามไม้ระนาดเคาะที่ข้อมือ 1 ครั้ง จนมีแผลฟกช้ำ เกิดอาการข้อบวม จากนั้นครูคนดังกล่าวดังกล่าวยังได้รายงานเรื่องนี้ไปยัง นางชิดชนก โตสม ผู้จัดการโรงเรียน ซึ่งเมื่อผู้จัดการโรงเรียนทราบเรื่อง ก็รู้สึกโกรธ และยังลงโทษซ้ำโดยการใช้ไม้เรียวตีซ้ำอีก 7 ครั้ง จนเกิดรอยช้ำบริเวณก้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ตนทราบเรื่องดังกล่าวจากหลาน และได้เปิดดูแผลที่เกิดจากการลงโทษ จึงรู้สึกว่าครูและผู้จัดการโรงเรียนได้กระทำการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ
นางสาคร กล่าวต่อว่า ตนจึงได้เดินทางไปขอพบผู้จัดการโรงเรียน เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่ง นางชิดชนก ยอมรับว่า ได้มีการลงโทษจริง เนื่องจาก ด.ช.กุ๊ก เล่นซน ไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งตนเห็นว่าการลงโทษดังกล่าวเกินกว่าเหตุ แต่ทาง นางชิดชนก กลับไม่รู้สึกรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น และยังท้าทายให้ตนไปร้องเรียนที่ใดก็ได้ จากนั้นตนจึงได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ส่งตัว ด.ช.กุ๊ก ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนนทเวช ในวันที่ 29 ม.ค.นี้
“ดิฉันเห็นว่าการลงโทษครั้งนี้ทั้งครู และผู้จัดการโรงเรียนทำเกินกว่าเหตุ รู้อยู่ว่าการตีเพื่อต้องการให้เด็กได้ดี แต่ก็ไม่ควรจะรุนแรงขนาดนี้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้ต้องการที่จะเอาเรื่อง แต่ทางผู้จัดการโรงเรียน กลับท้าทาย ไม่ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ดิฉันก็จะดำเนินการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทั้งทางตามระเบียบของ ศธ.และทางอาญา ซึ่งขณะนี้หลานกลัว และไม่อยากไปเรียนแล้ว หลังจากนี้ คงต้องหาที่เรียนที่ใหม่ให้” นางสาคร กล่าว
นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำหนดไว้ว่าห้ามครูใช้ไม้เรียวลงโทษเด็กอยู่แล้ว ดังนั้น ทางโรงเรียนต้องรับผิดชอบ และชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ทางสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ การลงโทษเด็กควรลงโทษด้วยวิธีอื่น เช่น การทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ การทำความสะอาด ฯลฯ ไม่ใช่การลงโทษด้วยการใช้ไม้เรียวตีเด็ก สำหรับกรณีที่ผู้ปกครองจะขอย้ายบุตรหลานออกจากโรงเรียนนั้น ทาง สช.จะดูแลให้ ส่วนที่ห่วงปัญหาว่าช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบนั้น ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลทาง สช.จะดำเนินการให้เนื่องจากมีเหตุผลและความจำเป็น
ด้าน นางชิดชนก กล่าวว่า ได้มีการทำโทษโดยการใช้ไม้เรียวตีที่ก้นของ ด.ช.กุ๊ก พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คนจริง คนละ 7 ครั้ง ก่อนที่จะลงโทษได้มีการอบรมเด็กที่ 4 คน ว่า ทำผิดเรื่องอะไร ซึ่งเพื่อนทั้ง 3 คนของ ด.ช.กุ๊ก ต่างยอมรับผิดว่าดื้อ ไม่ตั้งใจเรียนในห้องเรียนจริง เนื่องจาก ด.ช.กุ๊ก มาก่อกวนและชวนเล่น ในขณะที่กำลังเรียนอยู่ แต่ ด.ช.กุ๊ก กลับไม่ยอมรับผิด และที่ผ่านมา อาจารย์หลายท่าน ก็ได้มาบ่นให้ตนฟังตลอดว่า ด.ช.กุ๊ก ดื้อไม่ตั้งใจเรียน จนทำให้เพื่อนๆ ในห้องเสียโอกาสในการเรียนไปด้วย ตนเข้าใจว่า แม้แต่มารดาของ ด.ช.กุ๊ก เองก็เคยอนุญาตให้ตน และครูในโรงเรียนดูแลลูกได้เต็มที่
นางชิดชนก กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ตนได้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นางสาคร ซึ่งเป็นยายของ ด.ช.กุ๊ก ได้ทราบ แต่ก็ไม่ฟังเหตุและผล แถมยังใช้คำพูดด่าตน และอาจารย์ในโรงเรียนด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ อย่างไรก็ตาม หากคุณยายของ ด.ช.กุ๊ก ต้องการจะย้ายโรงเรียนทางโรงเรียนก็พร้อมดำเนินการให้ แต่จะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ด.ช.กุ๊ก ตามข้อเท็จจริงทุกอย่าง และขอยืนยันว่า สิ่งที่ทำไปก็เพราะมีเจตนาดีต่อเด็ก ไม่มีอคติอย่างที่กล่าวอ้าง
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ห้องสื่อมวลชนกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. นางสาคร แจ่มจำรัส อายุ 53 ปี ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน โดยเล่าเหตุการณ์ให้สื่อมวลชนฟังว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ด.ช.กุ๊ก (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ชั้นป.1 โรงเรียนกรุงเทพวิเทศศึกษา เขตดอนเมือง กทม. ซึ่งเป็นหลาน ถูกครูสอนวิชาดนตรีไทยใช้ไม้ระนาดเคาะข้อมือ และยังถูกผู้จัดการโรงเรียนลงโทษด้วยการตีด้วยไม้เรียวอีก 7 ครั้ง ที่บริเวณก้นจนไม้หัก ซึ่งจากการสอบถาม ด.ช.กุ๊ก ได้เล่าให้ฟังว่า ในระหว่างที่เรียนวิชาดนตรีไทยอยู่นั้น ได้เล่นหยอกล้อกับเพื่อน ทำให้ครูไม่พอใจ และลงโทษโดยการใช้ด้ามไม้ระนาดเคาะที่ข้อมือ 1 ครั้ง จนมีแผลฟกช้ำ เกิดอาการข้อบวม จากนั้นครูคนดังกล่าวดังกล่าวยังได้รายงานเรื่องนี้ไปยัง นางชิดชนก โตสม ผู้จัดการโรงเรียน ซึ่งเมื่อผู้จัดการโรงเรียนทราบเรื่อง ก็รู้สึกโกรธ และยังลงโทษซ้ำโดยการใช้ไม้เรียวตีซ้ำอีก 7 ครั้ง จนเกิดรอยช้ำบริเวณก้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ตนทราบเรื่องดังกล่าวจากหลาน และได้เปิดดูแผลที่เกิดจากการลงโทษ จึงรู้สึกว่าครูและผู้จัดการโรงเรียนได้กระทำการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ
นางสาคร กล่าวต่อว่า ตนจึงได้เดินทางไปขอพบผู้จัดการโรงเรียน เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่ง นางชิดชนก ยอมรับว่า ได้มีการลงโทษจริง เนื่องจาก ด.ช.กุ๊ก เล่นซน ไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งตนเห็นว่าการลงโทษดังกล่าวเกินกว่าเหตุ แต่ทาง นางชิดชนก กลับไม่รู้สึกรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น และยังท้าทายให้ตนไปร้องเรียนที่ใดก็ได้ จากนั้นตนจึงได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ส่งตัว ด.ช.กุ๊ก ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนนทเวช ในวันที่ 29 ม.ค.นี้
“ดิฉันเห็นว่าการลงโทษครั้งนี้ทั้งครู และผู้จัดการโรงเรียนทำเกินกว่าเหตุ รู้อยู่ว่าการตีเพื่อต้องการให้เด็กได้ดี แต่ก็ไม่ควรจะรุนแรงขนาดนี้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้ต้องการที่จะเอาเรื่อง แต่ทางผู้จัดการโรงเรียน กลับท้าทาย ไม่ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ดิฉันก็จะดำเนินการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทั้งทางตามระเบียบของ ศธ.และทางอาญา ซึ่งขณะนี้หลานกลัว และไม่อยากไปเรียนแล้ว หลังจากนี้ คงต้องหาที่เรียนที่ใหม่ให้” นางสาคร กล่าว
นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำหนดไว้ว่าห้ามครูใช้ไม้เรียวลงโทษเด็กอยู่แล้ว ดังนั้น ทางโรงเรียนต้องรับผิดชอบ และชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ทางสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ การลงโทษเด็กควรลงโทษด้วยวิธีอื่น เช่น การทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ การทำความสะอาด ฯลฯ ไม่ใช่การลงโทษด้วยการใช้ไม้เรียวตีเด็ก สำหรับกรณีที่ผู้ปกครองจะขอย้ายบุตรหลานออกจากโรงเรียนนั้น ทาง สช.จะดูแลให้ ส่วนที่ห่วงปัญหาว่าช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบนั้น ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลทาง สช.จะดำเนินการให้เนื่องจากมีเหตุผลและความจำเป็น
ด้าน นางชิดชนก กล่าวว่า ได้มีการทำโทษโดยการใช้ไม้เรียวตีที่ก้นของ ด.ช.กุ๊ก พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คนจริง คนละ 7 ครั้ง ก่อนที่จะลงโทษได้มีการอบรมเด็กที่ 4 คน ว่า ทำผิดเรื่องอะไร ซึ่งเพื่อนทั้ง 3 คนของ ด.ช.กุ๊ก ต่างยอมรับผิดว่าดื้อ ไม่ตั้งใจเรียนในห้องเรียนจริง เนื่องจาก ด.ช.กุ๊ก มาก่อกวนและชวนเล่น ในขณะที่กำลังเรียนอยู่ แต่ ด.ช.กุ๊ก กลับไม่ยอมรับผิด และที่ผ่านมา อาจารย์หลายท่าน ก็ได้มาบ่นให้ตนฟังตลอดว่า ด.ช.กุ๊ก ดื้อไม่ตั้งใจเรียน จนทำให้เพื่อนๆ ในห้องเสียโอกาสในการเรียนไปด้วย ตนเข้าใจว่า แม้แต่มารดาของ ด.ช.กุ๊ก เองก็เคยอนุญาตให้ตน และครูในโรงเรียนดูแลลูกได้เต็มที่
นางชิดชนก กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ตนได้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นางสาคร ซึ่งเป็นยายของ ด.ช.กุ๊ก ได้ทราบ แต่ก็ไม่ฟังเหตุและผล แถมยังใช้คำพูดด่าตน และอาจารย์ในโรงเรียนด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ อย่างไรก็ตาม หากคุณยายของ ด.ช.กุ๊ก ต้องการจะย้ายโรงเรียนทางโรงเรียนก็พร้อมดำเนินการให้ แต่จะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ด.ช.กุ๊ก ตามข้อเท็จจริงทุกอย่าง และขอยืนยันว่า สิ่งที่ทำไปก็เพราะมีเจตนาดีต่อเด็ก ไม่มีอคติอย่างที่กล่าวอ้าง