บทความโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตัวแทนภาคประชาชนจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วย ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ประธานมูลนิธิ ดร.ธวัช มกรพงศ์ พระประหยัด อุทัยพจน์ กรรมการคนรักเมืองกาญจนบุรี ศาสตราจารย์กิตติคุณสุภาพรรณ รัตนาภรณ์ ข้าราชการเกษียณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารุณี ธีระกุล ชมรมรักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ศุลีพร รัตนวิจิตร ชมรมใจภักดิ์รักษ์ไทย สุนทร มีศรี นักการละคร นุภารัก วงษ์เอก เครือข่ายศิลปินกู้ชาติ เพ็ญจิต ทะนุก ข้าราชการบำนาญ วิภา ชัย-ศิลปีชีวะ นักธุรกิจ ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล คณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วีระ สมความคิด ตัวแทนกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ เทพมนตรี ลิมปพะยอม นักประวัติศาสตร์ สมลักษณ์ หุตานุวัตร ผู้ทำงานเครือข่ายสิทธิมนุษยชน ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานองค์กรอุณาโลม ได้ออกแถลงการณ์พร้อมกับนำเรียนแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ส่งที่ รปช.1759 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ยืนยันให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการยกเลิกหนังสือสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ที่เรียกว่า บันทึกความเข้าใจ หรือ MOU 2 ฉบับ คือ MOU 2543 และ MOU 2544 กับแถลงการณ์ร่วม 1 ฉบับ คือ “แถลงการณ์ร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2544”
นอกจากนี้ยังยืนยันขอให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกกรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 และร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ตามหนังสือที่ลงนามโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่ นร 0503/11564 ลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ภาคประชาชนได้ให้เหตุผลว่าเพื่อรักษาอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และผลประโยชน์ของชาติ จึงขอให้รัฐบาลรีบดำเนินการยกเลิกสิ่งต่างๆ ข้างต้นภายใน 30 วัน
บัดนี้ก็ครบกำหนดเวลา 30 วันแล้ว
30 วันที่ครบกำหนดเวลา รัฐบาลก็ปฏิบัติเหมือนดังเดิม คือ เพิกเฉยต่อการรับฟังเสียงของประชาชน จึงไม่มีการตอบหนังสือกลับแต่ประการใด!
อย่างไรก็ตาม พลังของภาคประชาชนก็ยังแข็งแกร่งอยู่เสมอ สำนึกอยู่ตลอดเวลาถึงสิทธิหน้าที่ของตนเองในการเป็นตัวแทนประเทศไทย แม้จะมอบให้รัฐบาลใช้อำนาจอธิปไตยในส่วนของการบริหาร แต่อำนาจอธิปไตยก็ยังเป็นของปวงชน สามารถตรวจสอบ ให้ความเห็น และมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจได้ตามกฎหมายบัญญัติ
เป็นเรื่องผูกพันจากเมื่อ 30 วันที่แล้วด้วยเหมือนกัน ที่ข้าพเจ้าและตัวแทนภาคประชาชนได้เปิดหลักฐานการลงนามอนุมัติของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามใน MOU 2543 บทความวันนี้จึงสมควรเป็นเรื่องของ MOU 2543 หรือมีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” โดยจะแสดงเหตุผลว่า MOU 2543 เป็นสิ่งเลวร้ายมากกว่าสิ่งดี แม้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะออกมาสร้างคำอธิบายว่า “เราปฏิเสธประวัติศาสตร์ไม่ได้” นั้น ไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรทำคือ พรรคประชาธิปัตย์ ควรแสดงความรับผิดชอบที่จะบอกต่อประชาชนว่า ตนมีส่วนเป็นผู้ทำให้เกิดความผิดพลาดและจะมีผลกระทบรุนแรงต่อประเทศชาติ เพราะประเทศไทยไม่เคยรับรองหรืออ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 มาเลย ดังนั้น รัฐบาลซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ จึงสมควรจะแสดงความเป็นผู้นำกระทำการยกเลิก MOU 2543 โดยฉับพลัน
ใน MOU 2543 มีสิ่งเลวร้ายอย่างไร
1.มีนัยถึงการอ้างแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งฝรั่งเศสทำและกัมพูชานำมาใช้เป็นสิ่งแสดงเส้นเขตแดน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยใช้แผนที่ตามหลักสันปันน้ำเป็นสิ่งแสดงเส้นเขตแดน(คือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000) และไม่เคยรับรองหรืออ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เลย ไม่ว่าจะในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีนักวิชาการบางกลุ่มชอบอ้าง แต่ไม่เป็นความจริง หรือจากคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2505 ที่นายวศิน ธีรเวชญาณ ประธาน JBC คนปัจจุบันอ้าง ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงอีกเหมือนกัน
ที่ว่า “มีนัยถึงการอ้างอิง” นั้น ก็เพราะในเนื้อหาของ MOU ที่มีการกล่าวถึงแผนที่นั้น มิได้มีการระบุถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หากแต่ระบุเรื่องแผนที่ไว้ในข้อ 1(ค) ว่า “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ฉบับปี ค.ศ.1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส” เท่านั้น
ข้าราชการกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้น (พ.ศ.2543) จะมีความรู้หรือความคิดอย่างไร หรือจะถูกครอบงำ ยอมจำนน ด้วยคำพิพากษาของศาลโลกอันทำให้เกิดความเข้าใจว่า แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม จริงๆ หรือคณะกรรมการปักปันเขตแดนนั้นมีหน้าที่เป็นคณะกรรมการทำแผนที่ ก็ตาม หรือนักการเมืองในเวลานั้นจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาที่ไม่สุจริตต่อการบริหารราชการ ก็ตาม (กล่าวคือ ในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้น ประชาชนมีความเคลือบแคลงใจว่าเป็นเพราะข้าราชการชงเรื่อง หรือเป็นเพราะนักการเมืองไม่สุจริต และมีข้อมูลที่บ่งบอกว่า ตั้งแต่มกราคม 2543 อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศ มีชื่อว่า วศิน ธีรเวชญาณ เป็นบุคคลเดียวกับที่ได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นประธาน JBC ฝ่ายไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึงปัจจุบันนี้) แต่นอกเนื้อหาของ MOU ปรากฏในบันทึกรายงานการประชุมระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ว่า “พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1907 กับพิธีสารแนบท้าย และ แผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน” และ “ขออนุมัติให้ รมช.กต.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ...” (อ้างจากบันทึกข้อความส่วนราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักการเมืองต่างประเทศ เรื่องผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2543)
จะไม่ขอขยายความเรื่องนักการเมืองมีความคิดอย่างไรเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย แต่ในช่วงปี 2543 ชาวจะนะ จังหวัดสงขลา เริ่มประท้วงรัฐบาลเรื่องการอนุมัติพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับโครงการโรงแยกก๊าซและวางท่อก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย และต่อมาในช่วงปี 2544 ชาวบ้านจะนะได้ประท้วงการอนุมัติรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ของโครงการดังกล่าว เรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทยและพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีประหว่างประเทศต่างๆ รอบอ่าวไทย เริ่มเป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น และมีงานศึกษาที่น่าสนใจและถูกนำมาใช้เล่มหนึ่ง คือ วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของ นายวศิน ธีรเวชญาณ ชื่อ “การแบ่งอาณาเขตทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศใกล้เคียง”
2.โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของ JBC ตาม MOU 2543 ที่อยู่ในมือของผู้ที่ถูกครอบงำหรือยอมจำนนด้วยคำพิพากษาของศาลโลกตั้งแต่ปี 2505
JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ประกอบด้วย ประธานร่วม 2 คน และกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของแต่ละฝ่าย สำหรับฝ่ายไทยนั้นตำแหน่งประธาน JBC เป็นของกระทรวงการต่างประเทศ นอกนั้นเป็นกรรมการ ได้แก่ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุด เจ้ากรมแผนที่ทหาร เจ้ากรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อธิบดีกรมการปกครองและอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์แสดงให้พวกเราได้เห็นกันแล้วว่า ทหารของชาติที่เข้าไปอยู่ในองค์ประกอบโครงสร้างของ JBC เกิดความสับสนระหว่างอำนาจหน้าที่ของทหารตามรัฐธรรมนูญกับมติหรือผลการประชุมของ JBC “ทหารสังกัด JBC” จึงดูเหมือนว่าจะไม่รักษาแผ่นดิน หรือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญที่จะป้องกันราชอาณาจักรไทยมิให้แบ่งแยกด้วยเหตุฉะนี้ มาบัดนี้ข้าพเจ้าเองซึ่งเคยหลวมตัวไปเชื่อฟังกระทรวงการต่างประเทศให้แก้ปัญหาเรื่องเขตแดนด้วยกลไก JBC ก็ได้ตระหนักแล้วว่า นั่นคือหลุมพรางที่ขุดล่อไว้
อำนาจหน้าที่ของ JBC นั้นถูกกำหนดไว้ชัดเจนว่าให้ “รับผิดชอบให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม เป็นไปตามข้อ 1” ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเลวร้ายมากหากวางกรอบให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นพื้นฐาน
MOU 2543 ได้ให้อำนาจ JBC จัดทำแผนแม่บทในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะบรรจุแผนแม่บทหรือ TOR 2546 ซึ่งอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เข้ากับเรื่องกรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่เสนอต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 เพื่อให้ความเห็นชอบ
ที่สุดแล้ว JBC จะทำหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกขึ้นใหม่ ตามการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนที่ได้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
ความเลวร้ายที่จะเกิดคือ แผนที่แสดงเส้นเขตแดนใหม่จะเป็นอย่างไรหากยึดพื้นฐานจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของฝรั่งเศสที่กัมพูชาใช้หลักเขตแดนที่เคยมีอยู่เดิม 73 หลัก เมื่อมีการสำรวจและจัดทำใหม่ จะมีจำนวนเท่าไร แต่จำนวนเท่าไรนั้นไม่สำคัญไปกว่าจะมีตำแหน่งหรือพิกัดอยู่ที่ใด
และที่น่าสนใจคือตำแหน่งหรือพิกัดของหลักเขตแดนที่ 73 เดิมซึ่งมีความสำคัญในฐานะเป็นหลักอ้างอิงพื้นที่ไหล่ทวีปหรือเส้นเขตแดนทางทะเลจะเป็นเช่นใด
ยังโชคดีที่กระบวนการหรือขั้นตอนการดำเนินการยังไม่อาจแล้วเสร็จตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติซึ่งเป็นความลับตลอดมานั้นไม่แน่ มีการประชุมรวม 3 ครั้ง โดยมาเร่งรัดเอาตั้งแต่เมื่อรัฐสภาผ่านกรอบการเจรจาสำรวจหลักและจัดทำหลักเขตแดนเมื่อ 28 ตุลาคม 2551 ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 และ ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน 2552 จนจัดทำร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างกันได้และเสนอให้ผ่านรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 2 ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ในขณะนี้ข้าพเจ้ายังมองในแง่ดีว่ารัฐบาลและรัฐสภาฟังเสียงคัดค้านของภาคประชาชน จึงได้ถอนเรื่องออกไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากถอนแล้วถอนอีกมา 2 ครั้งก่อนหน้านี้ จึงถือว่าในขณะนี้การดำเนินการตาม MOU 2543 เพื่อให้มีผลสำเร็จสมบูรณ์ตามกฎหมายภายในของประเทศนั้น ยังไม่สำเร็จลุล่วงดี ยังผลให้ข้อตกลงระหว่างประเทศทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขตแดน และแม้แต่การรับรองแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ยังไม่บรรลุผล แต่ถ้าไม่มีการยกเลิก MOU 2543 ก็ยังไม่อาจเบาใจได้ว่าการดำเนินการจะไม่มีต่อไป
ยิ่งย้อนมาดูสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ดูเสมือนประชาชนไม่มีทางเลือกทำให้ยิ่งน่าวิตกกังวล กล่าวคือ ถ้าไม่เอาทักษิณและหรืออดีตพรรคพวกของทักษิณ ก็ต้องเอาอภิสิทธิ์ ถ้าไม่เอาอภิสิทธิ์และหรือพรรคร่วม ก็ต้องเอาทักษิณ
นายกฯ อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อาจจะคิดและพยายามทำให้ตนเป็นต่อทางการเมืองในขณะนี้ เพราะคิดว่าได้แนวร่วมจากภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดดังกล่าวนั้น เคยประกาศจุดยืนรักษาอธิปไตยและดินแดน และเคยเรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิก MOU 2543 ด้วยเหตุผลที่มีการรับรองหรืออ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000
บทความนี้แทนเสียงของภาคประชาชนกลุ่มเล็กๆอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกร้องให้รัฐบาลโดยแกนนำคือพรรคประชาธิปัตย์แสดงความรับผิดชอบยกเลิก MOU 2543 รัฐบาลเองก็ผ่านความอดกลั้นและอดทนต่อเรื่องต่างๆในความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชามามากมาย ต่อแต่นี้ขอให้รัฐบาลลองใช้วิธีการประเมินผลกระทบต่อประเทศทั้งทางบวกและทางลบ โดยการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียสักครั้งหนึ่งเป็นไร โดยครั้งนี้ขอให้ระบุและจำแนกประชาชนคนไทยว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มหนึ่งด้วย เพราะเรื่อง MOU 2543 หรือเรื่องการทำแผนที่ใหม่ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามการอ้างอิงแผนที่ของกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 นั้น ประชาชนของท่านกลุ่มนี้ยอมไม่ได้ และต้องมีอีกมากมายที่ยอมไม่ได้เช่นกัน !
อ้างอิง : รายละเอียดเนื้อหาของ MOU 2543 เปิดดูได้ที่ www.praviharn.net