xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจสอบ JBC และการเจรจา:ตอนที่ 1/ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
บทความโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยระดับผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เรื่องพิสูจน์อธิปไตยเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของคนไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 นั้นกลายเป็นประเด็นร้อน แต่ที่น่าสนใจคือเป็นประเด็นล่อแมงเม่าที่กระทรวงการต่างประเทศ (โดย เฉพาะอย่างยิ่งประธาน JBC ไทย) ตลอดจนถึงรัฐบาลคงอยากให้ที่ปรึกษาและนักวิชาการออกมาพูดแทนตน
 
เพราะกระทรวงการต่างประเทศ และ JBC ไทยไม่เคยออกมาพูดจาให้เหตุผลด้วยตนเองสักครั้ง ทั้งๆ ที่เรื่องปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในระบอบการปกครองของไทยปัจจุบัน ควรจะเป็นเรื่องมหาชนซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการจัดการปัญหานี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวจะดำเนินการได้เอง

การที่มีนักวิชาการและบางคนเคยเป็นที่ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดแทนใจกระทรวงการต่างประเทศและ JBC ไทย สื่อผ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ ที่เป็นที่นิยมอ่านในกลุ่มนักวิชาการทั่วไปนั้น ถึงตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าอยากถามว่าการที่กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เสมือนเป็นนักพัฒนาที่ดินและนำพื้นที่นี้ไปใช้ประโยชน์ที่ดินโดยพัฒนาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่ดินที่กัมพูชาเสนอโครงการโดยที่คณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโก เป็นสินเชื่ออยู่เบื้องหลังนั้น กระทรวงการต่างประเทศมีเหตุผลอย่างไรถึงไม่ยืนยันสิทธิอธิปไตยเหนือพื้นที่นั้น ตลอดจนมีเหตุผลใดจึงยอมรับสิทธิอธิปไตยของกัมพูชาเหนือพื้นที่นั้น จึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนกันทั่วประเทศ สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนโดยมีคณะกรรมการเจรจาและจัดทำหลักเขตแดนทำข้อตกลงและกฎหมายรับรองการเข้ามายึดครองดินแดนของต่างชาติ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และที่เห็นๆ กันอยู่แล้วตอนนี้คือกระทบต่อสังคม ทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มประชาชน เกิดความหวั่นไหว ว้าวุ่น กังวลใจ และหวาดกลัว
 
ขอถามอีกครั้งว่ากระทรวงการต่างประเทศมีเหตุผลใดจึงคิดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นสิทธิของกัมพูชา?


ถ้าดูจากข้อเขียนของนักวิชาการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าเขาเข้าใจว่า “คำพิพากษาของศาลโลก”ซึ่งก็นับว่าพูดได้ตรงถึงเหตุปัจจัย แต่กับเหตุผลยังฟังดูแปลกๆ จากที่มีวิวาทะกันมาก่อนหน้านี้ โดยให้เหตุผลว่า “คำพิพากษาศาลโลกกรณีปราสาทพระวิหาร ยืนยันแต่ว่าตัวปราสาทตั้งอยู่บนแผ่นดินกัมพูชา จึงไม่ชัดเจนนักว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่ตั้งของตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ครม.ไทยลงมติให้พื้นที่นี้อยู่ในเส้นเขตแดนของไทย สหรัฐทำแผนที่ทางอากาศให้ไทย จึงรวมพื้นที่ส่วนนี้ไว้ในประเทศไทย ข้ออ้างของไทยเหนือดินแดนส่วนนี้มีเหตุผลหรือไม่ ก็นับว่ามีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็ไม่ขัดกับคำพิพากษาของศาลโลกที่ไทยยอมรับ ในทางตรงกันข้าม ข้ออ้างของกัมพูชามีเหตุผลหรือไม่ ก็นับว่ามีเหมือนกัน เพราะหากกัมพูชาเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร ตัวโบราณสถานซึ่งรวมบันไดทางขึ้นของเดิม ก็ควรมี “บริเวณ” พอสมควร” (ตัวอย่างคำอ้างอิงที่ยกมานี้เป็นของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, มติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552 ป.29 ฉ.1520:26)

ถือว่ามาแนวใหม่ ขยายความและเดาใจต่อ ออกไปอีกว่าศาลโลกตัดสินอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด รวมทั้งที่ได้อ่านข้อเขียนของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล บุคคลผู้ไม่เพียงอ่านคำตัดสินของศาลโลกทั้งหมดจนจบ หากแต่เป็นผู้อยู่ในคณะทำงานเรื่องนี้ในเวลานั้น และได้รับมอบหมายให้แปลคำพิพากษาตัดสินของศาลโลกเป็นภาษาไทยให้แก่คณะทำงานอีกด้วย จะเข้าใจว่าศาลโลกตัดสินอะไร และอย่างไร

อย่างไรก็ตาม เรากำลังพูดอยู่ว่า ข้อเขียนของนักวิชาการแทนใจกระทรวงการต่างประเทศโดยอธิบายเหตุผลการดำเนินการแต่ผู้เดียวของกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่รับฟังมหาชนหรือความคิดเห็นของประชาชน อย่างไร

1. การไปจินตนาการเอาว่ากัมพูชาเป็นเจ้าของปราสาทก็ควรมี “บริเวณ” พอสมควร

2. การไปเชื่อฟังนักวิชาการที่ใช้ “ข้อมูลแบบยอมจำนน” หรือ “ข้อมูลตาย” ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว จนทำให้กระทรวงการต่างประเทศเชื่อมั่นในการดำเนินการแก้ปัญหาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ยึดหลักการมหาชน หรือการรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นของประชาชน ขออ้างจากข้อเขียนที่ออกมาคราวเดียวกันในหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกัน เสมือนความคิดกระแสหลักที่เป็นพื้นฐานการดำเนินการของรัฐ ทะลักล้นออกมายังประชาชน เรื่องนี้ต้องอ้างยุทธบทความของ สุรชาติ บำรุงสุข ซึ่งมีผลงานเป็นที่อ้างอิงของกระทรวงการต่างประเทศมาตั้งแต่การทำประชาพิจารณ์กรอบการเจรจาไทย-กัมพูชาครั้งที่ 1 เขาได้พยุงความคิดและความเชื่อมั่นของกระทรวงการต่างประเทศ ดูถูกเหยียดหยามประชาชนที่ประสงค์เข้าไปมีส่วนร่วม โดยการพูดเสียดสีแดกดันเอาว่า

“…ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะตัดสินอย่างไรในปี 2505 ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะแม้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงจะสูญเสียไปแล้วในปี 2446 และมณฑลบูรพาจะสูญเสียไปแล้วในปี 2449 รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามยังสามารถเอากลับคืนมาได้ แล้วทำไมรัฐบาลปัจจุบันที่ได้รับการสนับสนุนจากขบวนการเรียกร้องเอาเขาพระวิหารคืนจะเอาดินแดนกลับคืนมาไม่ได้เล่า! ” (อ้างข่าวมติชนสุดสัปดาห์ 2-8 ตุลาคม 2552 : 36)

การออกมานำเสนอข้อตักเตือนของข้าพเจ้าให้กระทรวงการต่างประเทศปรับเปลี่ยนทัศนคติและทำหน้าที่ในคราวนี้ ก็เพราะอยากให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับรู้ว่า การดำเนินการของฝ่ายรัฐเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 มาจนถึงปัจจุบัน(พ.ศ. 2552) ไม่ว่าจะเป็นสมัยรัฐบาลใด พรรคใด ยังมิได้แก้ไขปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับดำเนินการกันโดยต่อเนื่องเพื่อสร้างเหตุผลต่างๆ ให้เกิดความชอบธรรมต่อการสนับสนุนกัมพูชาจนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลเสียในที่สุดแล้วจะยากต่อการเยียวยาแก้ไข ขอยกมาเพียงบางประเด็นที่สามารถเปิดสู่สาธารณะได้และไม่เป็นประโยชน์ต่อชาติอื่น ดังนี้

1. การดำเนินการที่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา พ.ศ.2544 โดยไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์และความเห็นชอบจากรัฐสภานั้นจะต้องยกเลิก

สาระสำคัญของสัญญาระหว่างประเทศฉบับนี้คือ การผูกเงื่อนงำระหว่างการจัดการเรื่องเขตแดนทางบกกับทางทะเลเข้าด้วยกัน และการผูกเงื่อนงำการจัดการเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในทะเลระหว่างกลุ่มธนาธิปไตยไทย-กัมพูชา ที่ประสานประโยชน์กับกลุ่มค้าพลังงานของโลก

2. การดำเนินการที่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 18 มิถุนายน 2551 โดยไม่ได้ผ่านการประชาพิจารณ์และความเห็นชอบจากรัฐสภาเช่นกัน นั้นจะต้องยกเลิก

แต่เนื่องจากสาระสำคัญของสัญญาระหว่างประเทศฉบับนี้ซึ่งเป็นหนทางดำเนินไปสู่การผ่านกระบวนการทางกฎหมาย และการรับรองโดยองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ไทยยกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา และมีการ “แปลงร่าง” ไปบรรจุอยู่ในข้อตกลงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะดำเนินการให้มีสถานภาพเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศหากผ่านกระบวนการทางกฎหมายภายในหรือสภานิติบัญญัติโดยสมบูรณ์ การชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศว่าแถลงการณ์ฉบับนี้สิ้นผลแล้ว เพียงเท่านี้จะเพียงพอหรือไม่ถ้าหากยึดมั่นในการแก้ปัญหาจริง

3. การดำเนินการไปแล้วเมื่อ 28 ตุลาคม 2551 ที่ได้ผ่านกรอบการเจรจา ซึ่งได้อ้างวัตถุประสงค์หลักของ MOU 2543 ในการตั้ง JBC เพื่อสำรวจการทำหลักเขต 73 หลัก แต่ได้ “สอดไส้”เรื่อง แผนที่ 1:200,000 ไว้ในข้อกำหนดอำนาจหน้าที่และแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา ถึงมติได้ออกมาโดยเสียงส่วนใหญ่รับรอง 409:7 เสียงไปแล้วก็จริง แต่มตินี้ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรไทยที่มีข้อบัญญัติถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ โดยไทยยึดถือสันปันน้ำ นอกจากนี้ JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมหรือที่ตั้งขึ้น ยังทำผิดหลักการ โดยยุติการสำรวจจัดทำหลักเขตแดน 73 หลักที่ว่า มาเป็นการสำรวจและจัดการ “พื้นที่ชิดปราสาทพระวิหาร” แทน

การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศแต่ฝ่ายเดียวในกรณีที่กล่าวมานี้ ประชาชนที่มิได้เชื่อข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงออกทางพฤตินัยและรวมทั้งทำหนังสือคัดค้านต่อองคาพยพในการบริหารและปกครองแผ่นดินมาโดยตลอด แม้ทางกระทรวงการต่างประเทศจะมีทัศนคติที่ฝืนต่อสังคม กระทำการต่างๆ อันมีผลสุ่มเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยและดินแดน โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือยอมรับเรื่องสิทธิและหน้าที่ของมหาชนในการปกป้องดูแลประเทศชาติ

กรณีเมื่อ 28 ตุลาคม 2551 ฝ่ายบริหารโดยรัฐบาลไทยและฝ่ายนิติบัญญัติโดยรัฐสภาไทย ในการประชุมร่วมกันสมัยสามัญนิติบัญญัติ ได้ร่วมกันกระทำผิดรัฐธรรมนูญโดยผ่าน กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตลอดแนวในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา และกลไกอื่นๆ ภายใต้กรอบนี้ ความผิดครั้งนี้ยังไม่พออีกหรือที่ท่านจะกระทำต่อประเทศไทย เพราะเมื่อ 28 สิงหาคม 2552 และ 2 กันยายน 2552 คณะรัฐมนตรีตั้งใจจะนำบันทึกการประชุม JBC 3 ฉบับ ต่อจากเมื่อเดือนตุลาคม 2551 พร้อมกับร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ที่ทำขึ้นที่กรุงพนมเปญเมื่อ 6 เมษายน 2552 เข้าสภา แต่ได้เลื่อนด้วยเหตุผลลับอย่างไรไม่ปรากฏ ร่างข้อตกลงฉบับนี้ยังรอที่จะผ่านสภาอยู่อีกหรือ ความหมายของมันโดยละเอียดเป็นอย่างไร ขอให้กลับไปดูบทความของข้าพเจ้าเมื่อ 26 กันยายน 2552 และ 30 สิงหาคม 2552

งานนี้เห็นทีประชาชนจะต้องเช็คบิลอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติไทยไปที่องค์กรระหว่างประเทศองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ท่านเองก็กลัวนักกลัวหนา อ้างคำของนักวิชาการที่ปรึกษาของท่านมาขู่ชาวบ้านไปจนทั่วว่า ไทยจะมีภาพเป็น “รัฐอันธพาล” และถูกแทรกแซงโดยรัฐมหาอำนาจและองค์กรพหุภาคีต่างๆ ตั้งแต่ระดับภูมิภาคถึงระดับโลก เพราะคราวนี้จะเป็นทีของประชาชนบ้างละ ที่จะฟ้องท่าน ว่าท่านเป็นรัฐอันธพาลข่มเหงรังแกประชาชนของตนเอง !

และงานนี้ประชาชนก็จะไม่ลืมกระทรวงการต่างประเทศแน่ๆ เพราะต้นคิดทั้งหมดก็มาจากท่าน การกระทำผิดรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้งมาจากกลไก JBC และยิ่งผูกมัดแน่นเข้าไปอีกเมื่อโครงสร้างของ JBC นั้นทำให้ JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมมีอำนาจมากที่สุดในทางปฏิบัติเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และปรากฏอีกด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศโดยตำแหน่งได้เป็นถึงประธานฝ่ายไทยของคณะกรรมาธิการชุดนี้ บุคคลและหน่วยงานอื่นถือว่าเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุด ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และ อื่นๆ โครงสร้างแบบนี้ชัดเจนว่า คราวนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องมาซัดหรือปัดความรับผิดชอบให้คนอื่นอีกต่อไปแล้ว

ข้อเสนอ ในฐานะที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานเจ้าภาพของเรื่องนี้ จึงขอให้นำข้อมูลต่างๆทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นของประชาชน เสนอนายกรัฐมนตรี ถอนมติที่ผิดไปเสีย และยกเลิกการนำร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเข้าสภา พิจารณากลไก JBC (ถึงบางอ้อว่า รมต.กษิต ภิรมย์ ถึงพูดคำว่า “เจรจา” 41 ครั้ง ใน 40 นาทีของการชี้แจงหน้าจอโทรทัศน์เมื่อ 7 กันยายน 2552) และหากลไกอื่นๆมาใช้ด้วย เช่น การดำเนินการตามข้อบทกฎหมายของกระทรวงต่างๆที่จะช่วยป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น รวมทั้งการใช้กำลังในทางป้องกันตนเองในยามจำเป็นและเมื่อถูกคุกคาม (ตามที่กฎหมายไทยและแม้แต่กฎบัตรสหประชาชาติได้กำหนดไว้ให้) การแก้ปัญหานี้ กระทรวงการต่างประเทศต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ และรับฟังเสียงประชาชน
 




โปรดติดตามเรื่อง JBC ตอนที่ 2 ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น