ศธ.ดาหน้าตอกกลับ “เด็จพี่” แจงแผนไทยเข้มแข็งของสพฐ. ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ หนังสือที่กล่าวอ้างเพียงแค่แผนใช้เงิน และหนังสือเห็นชอบแผนจากสำนักงบฯ ขณะที่การจัดซื้อรถบรรทุก เครื่องซักผ้า ยันเป็นความต้องการของพื้นที่เอง ส่วนกลางไม่ได้กำหนด “จุรินทร์” เผยใครมีข้อมูลโกงให้ส่งมา ยินดีรับ ย้อนเคยถูกกล่าวหามาครั้งหนึ่งแล้ว ส่งคนไปรับเรื่องก็หาตัวไม่พบ ชัดอย่านึกแต่สนุกปาก ทำอะไรคิดถึงข้อเท็จจริง
วันนี้ (2 พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาฯ กพฐ.) ในฐานะรักษาการเลขาธิการ กพฐ. กล่าวถึงกรณีที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่าพบการจัดสรรครุภัณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในโครงการไทยเข้มแข็ง มีการจัดซื้อสินค้าเกินจริง ล็อกสเปกสินค้า โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 229,628,000 ล้านบาท มีการจัดสรรงบพิเศษจากคนใกล้ชิดนักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้าที่ล็อกสเปกสินค้า ซึ่งกล่าวถึงหนังสืออนุมัติโครงการ และงบประมาณของ สพฐ.ที่ ศธ.04006/2211 ลงวันที่ 1 ต.ค.52 พร้อมสำเนาหนังสือจากสำนักงบประมาณด่วนที่สุดที่ นร.0712/23871 ลงวันที่ 23 ก.ย.52
โดยอ้างว่ามีการประมูลงาน อนุมัติงบประมาณและลงนามทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ครุภัณฑ์บางรายการพบว่าไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ไม่สอดคล้องกับ SP2 ซึ่งคนได้ประโยชน์มีอยู่ไม่กี่กลุ่ม โดยขณะพบความเสียหายรวม 51 จังหวัดแล้วนั้น ว่า ในรายละเอียดของหนังสือดังกล่าวได้มีการแจ้งแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินในปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยภาพรวมว่า สพฐ.ได้รับงบประมาณจากโครงการนี้ทั้งสิ้น 26,233,870,200 ล้านบาท และมีหนังสืออีกฉบับจากสำนักงบฯ โดยรายละเอียดที่ส่งไปมีทั้งคุณลักษณะและการอนุมัติโครงการทั้งหมด สำนักงบฯ ก็ได้เห็นชอบให้ สพฐ.ดำเนินการตามแผนได้ และเอกสารที่ส่งไปยังสำนักงบฯ ก็มีรายละเอียดของแต่ละโครงการ เพื่อเป็นการเตรียมการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ดำเนินการ ซึ่งความจริงแล้วเหตุการการจัดซื้อต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งในประเด็นที่บอกว่ามี 51 จังหวัดได้รับความเสียหายนั้นคงไม่จริงเพราะยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ
เมื่อถามว่าในแผนดังกล่าวมีการจัดซื้อรถบรรทุก เครื่องซักผ้า จริงหรือไม่ และมีความจำเป็นอย่างไรนั้น นายสมเกียรติกล่าวว่า มีอยู่ในรายการทั้งรถบรรทุก เครื่องซักผ้า แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ใช้คุณลักษณะ ราคากลางจากสำนักงบประมาณตามมาตรฐานกลางกำหนด โดยเครื่องซักผ้านั้น เป็นรายละเอียดที่อยู่ในงบก้อนของการศึกษาพิเศษ ซึ่งเป็นงบของการปรับปรุง ซ่อมแซม ก่อสร้าง ครุภัณฑ์จำเป็นที่ไม่เคยได้รับมานาน โดยมีคุณลักษณะตามที่กำหนด และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ที่อยู่ประจำก็ขอขึ้นมาเอง ซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยมาก อีกทั้งไม่ได้มีราคาแตกต่างไปจากราคากลาง
ในส่วนของรถบรรทุกนั้นมีความจำเป็นสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ใช้ในเรื่องของการขนย้ายสื่ออุปกรณ์ และครูที่จะไปสอนที่ต่างๆ เพื่อการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป็นความต้องการของโรงเรียนมานานอยู่แล้ว เป็นคำขอมาจากพื้นที่ ซึ่งสเปคตรวจสอบชัดเจนว่าไม่ได้แตกต่างกับที่สำนักงบฯ กำหนด โดยจะประกอบด้วย 3 ประเภท คือ รถบรรทุกขับเคลื่อน 2 ล้อจำนวน 133 คัน ขับเคลื่อน 4 ล้อจำนวน 42 คัน และรถกระบะ 201 คัน ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ไม่เคยได้มาก่อน อีกทั้งศูนย์เครือข่ายมัธยมที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่มีทรัพยากรในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะพาหนะในการเดินทาง ซึ่งเขตพื้นที่มัธยมที่จะจัดตั้งใหม่ขึ้นใหม่ก็มีความจำเป็นในการทำงาน และเป็นความต้องการของพื้นที่ ส่วนกลางไม่ได้เป็นผู้กำหนดเอง
“เราเองจะได้ระวังในการดำเนินงานมากขึ้นเพราะมีคนช่วยตรวจสอบอยู่ แต่ประเด็นคือเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้นทำให้เป็นความลำบากใจ จึงต้องทำการชี้แจง ซึ่งวิธีการอ้างจากเลขที่หนังสือก็ทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่หนังสือก็ไม่ได้มีรายละเอียดในการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด ซึ่งไม่ได้มีข้อความสั่งการเหมือนอย่างที่อ้าง” รองเลขาฯ กพฐ.กล่าว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า หนังสือที่ทางโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างนั้นได้มีการนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ สพฐ.อยู่แล้ว ไม่ได้เป็นความลับ ซึ่งเนื้อหาของหนังสือเป็นการแจ้งให้ทราบว่าทางสำนักงบประมาณเห็นชอบกับรายละเอียดในโครงการไทยเข้มแข็งของ สพฐ. ซึ่งเป็นหนังสือที่แจ้งไปยังผู้ผอ.สพท.ให้เตรียมการดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ประกอบกับตนได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณมาแล้วว่าให้เข้มงวดเป็นพิเศษสำหรับงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งของ ศธ. หากโครงการใดไม่ถูกต้อง เมื่อไม่อนุมัติแล้ว ให้แจ้งให้ตนทราบด้วยเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ในส่วนที่นำมากล่าวอ้างนั้นที่กล่าวอ้างเป็นจดหมายที่เปิ ด เผยอยู่แล้ว ไม่มีนัยะสำคัญ ไม่มีข้อมูลอะไรที่ไม่ชอบมาพากล นอกจากนี้ก็ได้รับแจ้งจาก สพฐ.แล้วว่ายังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด โดยสเปคทั้งหมดที่กล่าวอ้างก็ได้ผ่านการเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งได้ส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ดำเนินการตรวจสอบแล้วด้วย
“ศธ.ไม่มีนโยบายที่จะทำอะไรให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง และได้กำชับมาตลอดให้ทุกหน่วยงานมีความโปร่งใส หากพบว่าไม่ถูกต้องนอกจากการตรวจสอบแล้วยังจะมีการใช้กระบวนการทางการบริหารในการย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าประจำยังส่วนกลาง แล้วตั้งคณะกรรมการสอบต่อไป ถ้าผู้กล่าวอ้างมีข้อมูลก็ขอให้ส่งมา หรือหากไม่มาเองก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปรับเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการกล่าวหาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อติดต่อกลับไปก็ไม่พบตัว หาตัวผู้ร้องไม่ได้ จึงไม่สามารถประสานงานได้ ครั้งนี้ก็ยินดีหากจะให้ข้อมูลมา เพราะเท่าที่ดูเหมือนกับว่ามีการดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นการจะพูดอะไรก็ขอให้อยู่ในพื้นฐานของความรับผิดชอบ อยู่ในข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรอย่างเดียว” รมว.ศธ.กล่าว
วันนี้ (2 พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาฯ กพฐ.) ในฐานะรักษาการเลขาธิการ กพฐ. กล่าวถึงกรณีที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่าพบการจัดสรรครุภัณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในโครงการไทยเข้มแข็ง มีการจัดซื้อสินค้าเกินจริง ล็อกสเปกสินค้า โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 229,628,000 ล้านบาท มีการจัดสรรงบพิเศษจากคนใกล้ชิดนักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้าที่ล็อกสเปกสินค้า ซึ่งกล่าวถึงหนังสืออนุมัติโครงการ และงบประมาณของ สพฐ.ที่ ศธ.04006/2211 ลงวันที่ 1 ต.ค.52 พร้อมสำเนาหนังสือจากสำนักงบประมาณด่วนที่สุดที่ นร.0712/23871 ลงวันที่ 23 ก.ย.52
โดยอ้างว่ามีการประมูลงาน อนุมัติงบประมาณและลงนามทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ครุภัณฑ์บางรายการพบว่าไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ไม่สอดคล้องกับ SP2 ซึ่งคนได้ประโยชน์มีอยู่ไม่กี่กลุ่ม โดยขณะพบความเสียหายรวม 51 จังหวัดแล้วนั้น ว่า ในรายละเอียดของหนังสือดังกล่าวได้มีการแจ้งแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินในปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยภาพรวมว่า สพฐ.ได้รับงบประมาณจากโครงการนี้ทั้งสิ้น 26,233,870,200 ล้านบาท และมีหนังสืออีกฉบับจากสำนักงบฯ โดยรายละเอียดที่ส่งไปมีทั้งคุณลักษณะและการอนุมัติโครงการทั้งหมด สำนักงบฯ ก็ได้เห็นชอบให้ สพฐ.ดำเนินการตามแผนได้ และเอกสารที่ส่งไปยังสำนักงบฯ ก็มีรายละเอียดของแต่ละโครงการ เพื่อเป็นการเตรียมการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ดำเนินการ ซึ่งความจริงแล้วเหตุการการจัดซื้อต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งในประเด็นที่บอกว่ามี 51 จังหวัดได้รับความเสียหายนั้นคงไม่จริงเพราะยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ
เมื่อถามว่าในแผนดังกล่าวมีการจัดซื้อรถบรรทุก เครื่องซักผ้า จริงหรือไม่ และมีความจำเป็นอย่างไรนั้น นายสมเกียรติกล่าวว่า มีอยู่ในรายการทั้งรถบรรทุก เครื่องซักผ้า แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ใช้คุณลักษณะ ราคากลางจากสำนักงบประมาณตามมาตรฐานกลางกำหนด โดยเครื่องซักผ้านั้น เป็นรายละเอียดที่อยู่ในงบก้อนของการศึกษาพิเศษ ซึ่งเป็นงบของการปรับปรุง ซ่อมแซม ก่อสร้าง ครุภัณฑ์จำเป็นที่ไม่เคยได้รับมานาน โดยมีคุณลักษณะตามที่กำหนด และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ที่อยู่ประจำก็ขอขึ้นมาเอง ซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยมาก อีกทั้งไม่ได้มีราคาแตกต่างไปจากราคากลาง
ในส่วนของรถบรรทุกนั้นมีความจำเป็นสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ใช้ในเรื่องของการขนย้ายสื่ออุปกรณ์ และครูที่จะไปสอนที่ต่างๆ เพื่อการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป็นความต้องการของโรงเรียนมานานอยู่แล้ว เป็นคำขอมาจากพื้นที่ ซึ่งสเปคตรวจสอบชัดเจนว่าไม่ได้แตกต่างกับที่สำนักงบฯ กำหนด โดยจะประกอบด้วย 3 ประเภท คือ รถบรรทุกขับเคลื่อน 2 ล้อจำนวน 133 คัน ขับเคลื่อน 4 ล้อจำนวน 42 คัน และรถกระบะ 201 คัน ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ไม่เคยได้มาก่อน อีกทั้งศูนย์เครือข่ายมัธยมที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่มีทรัพยากรในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะพาหนะในการเดินทาง ซึ่งเขตพื้นที่มัธยมที่จะจัดตั้งใหม่ขึ้นใหม่ก็มีความจำเป็นในการทำงาน และเป็นความต้องการของพื้นที่ ส่วนกลางไม่ได้เป็นผู้กำหนดเอง
“เราเองจะได้ระวังในการดำเนินงานมากขึ้นเพราะมีคนช่วยตรวจสอบอยู่ แต่ประเด็นคือเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้นทำให้เป็นความลำบากใจ จึงต้องทำการชี้แจง ซึ่งวิธีการอ้างจากเลขที่หนังสือก็ทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่หนังสือก็ไม่ได้มีรายละเอียดในการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด ซึ่งไม่ได้มีข้อความสั่งการเหมือนอย่างที่อ้าง” รองเลขาฯ กพฐ.กล่าว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า หนังสือที่ทางโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างนั้นได้มีการนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ สพฐ.อยู่แล้ว ไม่ได้เป็นความลับ ซึ่งเนื้อหาของหนังสือเป็นการแจ้งให้ทราบว่าทางสำนักงบประมาณเห็นชอบกับรายละเอียดในโครงการไทยเข้มแข็งของ สพฐ. ซึ่งเป็นหนังสือที่แจ้งไปยังผู้ผอ.สพท.ให้เตรียมการดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ประกอบกับตนได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณมาแล้วว่าให้เข้มงวดเป็นพิเศษสำหรับงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งของ ศธ. หากโครงการใดไม่ถูกต้อง เมื่อไม่อนุมัติแล้ว ให้แจ้งให้ตนทราบด้วยเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ในส่วนที่นำมากล่าวอ้างนั้นที่กล่าวอ้างเป็นจดหมายที่เปิ ด เผยอยู่แล้ว ไม่มีนัยะสำคัญ ไม่มีข้อมูลอะไรที่ไม่ชอบมาพากล นอกจากนี้ก็ได้รับแจ้งจาก สพฐ.แล้วว่ายังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด โดยสเปคทั้งหมดที่กล่าวอ้างก็ได้ผ่านการเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งได้ส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ดำเนินการตรวจสอบแล้วด้วย
“ศธ.ไม่มีนโยบายที่จะทำอะไรให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง และได้กำชับมาตลอดให้ทุกหน่วยงานมีความโปร่งใส หากพบว่าไม่ถูกต้องนอกจากการตรวจสอบแล้วยังจะมีการใช้กระบวนการทางการบริหารในการย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าประจำยังส่วนกลาง แล้วตั้งคณะกรรมการสอบต่อไป ถ้าผู้กล่าวอ้างมีข้อมูลก็ขอให้ส่งมา หรือหากไม่มาเองก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปรับเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการกล่าวหาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อติดต่อกลับไปก็ไม่พบตัว หาตัวผู้ร้องไม่ได้ จึงไม่สามารถประสานงานได้ ครั้งนี้ก็ยินดีหากจะให้ข้อมูลมา เพราะเท่าที่ดูเหมือนกับว่ามีการดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นการจะพูดอะไรก็ขอให้อยู่ในพื้นฐานของความรับผิดชอบ อยู่ในข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรอย่างเดียว” รมว.ศธ.กล่าว