ส.ว.ร่วมวงชำแหละโครงการไทยเข้มแข็ง ระบุถือเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย ปชป. จี้รัฐใช้เงินนอกงบประมาณ ไม่ผ่านสภาตรวจสอบ หวั่นทุจริต เล็งยื่นศาล รธน.สอบ ด้าน รมช.คลัง ย้ำโปร่งใสทุกขั้นตอน มีคณะกรรมการตรวจสอบหลายชั้น
วันนี้ (30 ต.ค.) ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน และคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภา จัดเสวนาเรื่อง “ชำแหละโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้อาการน่าเป็นห่วงมาก เพราะฝากชีวิตรัฐบาลไว้กับโครงการไทยเข็มแข็ง เพราะเชื่อว่าเป็นจุดขายที่จะเพิ่มคะแนนนิยม แต่ความจริงแล้วส่วนตัวแล้วกลับเห็นว่าโครงการนี้จะทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ติดลบ เพราะบทสรุปก็มีแต่ กู้ โกง และกินเท่านั้น แต่จริงอยู่ที่ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีการเบิกจ่าย จึงยังไม่มีการโกง แต่เห็นชัดว่าแค่เริ่มต้นก็อาการน่าเป็นห่วงแล้ว เนื่องจากเริ่มถูกภาคประชาชนที่เข้มแข็งตรวจสอบ ดังนั้นเรื่องนี้จึงถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขเร่งด่วนก่อนที่จะเกิดการทุจริตขึ้น
นายคำนูณกล่าวต่อว่า โครงการไทยเข็มแข็งเกิดขึ้น เพราะรัฐบาลอ้างว่าจะต้องเพิ่มการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐถึงจะต้องเป็นผู้ลงทุนเอง ทำไมไม่ให้เอกชนดำเนินการ แต่ทั้งนี้หากปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐจะต้องลงทุนจริงๆ คำถามคือโครงการอย่างถนนปลอดฝุ่นจำเป็นเร่งด่วนหรือ เราจะรอให้ถนนยังมีฝุ่นอยู่ได้หรือไม่ แต่ขอมีรถไฟที่ทันสมัย ไม่ให้ประชาชนต้องฝากชีวิตไว้บนเส้นด้าย
นอกจากนี้ หากรัฐต้องกู้เงินเพื่อลงทุนจริงๆ ก็ควรทำตามกฎหมาย เข้าตามตรอกออกตามประตู ใช้เงินผ่านงบประมาณตามปกติ และหากภายหลังมีข้อติดขัดจึงค่อยแก้ไข พ.ร.บ.งบประมาณ หรือ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะก็ได้ แต่สิ่งที่รัฐบาลเลือกทำกลับไปใช้เงินนอกงบประมาณ โดยไม่ผ่านรัฐสภาเพื่อตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะอาจเป็นแบบอย่างที่เลวให้รัฐบาลต่อไป ซึ่งอาจจะไม่ใช่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวระ เป็นนายกฯ ก็ได้ อย่างไรก็ตามหาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ผ่าน ตนและนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณขัดในหมวด 8 มาตรา 166-170 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า การกู้เงินของรัฐบาลแม้จะมากเพียงใดคงไม่น่าเป็นห่วง หากประเทศเรามีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง แต่หากพูดตามความเป็นจริงแล้ว ระบบการตรวจสอบของเราไม่ดีเท่าที่ควร หลายโครงการที่นายกฯ ระบุว่าเขียนโครงการเรียบร้อยแล้ว ก็มีแต่แบบฟอร์มไม่มีรายละเอียด จึงง่ายต่อการซุกซ่อนผลประโยชน์ ส่วนเรื่องการใช้เงินนอกงบประมาณของรัฐบาลตนไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำตามขั้นตอน และยังดึงอำนาจนิติบัญญัติไปไว้ในมือตัวเอง จึงทำให้ระบบตรวจสอบไม่สมดุล ไม่สามารถทำงานได้
ด้าน นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ยืนยันว่าการกู้เงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งมีความจำเป็น ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้า โดยหน่วยงานต่างๆ ประมาณ 320 หน่วยงาน กว่า 20 กระทรวง ได้ทยอยส่งแผนโครงการให้คณะกรรมการกลั่นกรอง ช่วยพิจารณากลั่นกรองแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะแต่ละหน่วยงานได้ของบประมาณเกินมา 7-8 เท่า อย่างไรก็ตามตนขอยอมรับว่าอาจจะมีการดำเนินการที่ค่อนข้างติดขัดอยู่บ้าง เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น แต่เชื่อว่าโครงการตามงบประมาณไทยเข้มแข็งจะสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
นพ.พฤฒิชัย กล่าวอีกว่า เบื้องต้นมีหน่วยงานที่ของบประมาณเรียบร้อยแล้วคือกระทรวงคมนาคม เพื่อจัดทำโครงการถนนปลอดฝุ่น ซึ่งจะเซ็นสัญญา 3,000 กิโลเมตร ทั่วประเทศ ประมาณกลางเดือนพฤษจิการยน ซึ่งตนขอยืนยันในฐานะรัฐบาลด้วยว่า โครงการดังกล่าวไม่มีการเลือกปฏิบัติ ว่าพื้นที่ใดเป็นของพรรคใด แต่เป็นโครงการเล็กๆ ในระดับอำเภอ มีผู้รับเหมาที่มีคุณภาพ มีราคากลางที่มีมาตรฐาน ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่ามีความโปร่งใสมาก
รัฐบาลชุดนี้เน้นเรื่องความโปร่งใสมาก เพราะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 3 ชุด คือ 1.คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ที่มีคณะกรรมการเป็นข้าราชการระดับสูงในสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาโครงการ 2.คณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่าย ที่มีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน และตนเป็นรองประธาน และ 3.คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินการโครงการ ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่โปร่งใสเป็นกรรมการ อาทิ นายพนัส สิมะเสถียร นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัฐ เป็นต้น จึงถือเป็นการรับประกันความโปร่งใสของโครงการได้อย่างดี นอกจากนี้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยังสามารถเรียกตรวจสอบโครงการได้ตลอดเวลา
รมช.คลัง ยังกล่าวถึงโครงการตามงบประมาณไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการทุจริตนั้น ตนเห็นว่า ถ้ามีปัญหาและเห็นว่าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด แต่เรื่องนี้จากการหารือกับ น.พ.บรรลุ ศิริพานิช กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ข้อสรุปว่าไม่มีการโกงกิน เพราะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง
ขณะที่ นายพงษภานุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การใช้เงินนอกงบประมาณไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทำ เพราะเคยเกิดขึ้นในสมัยวิกฤติปี 2540 แล้ว และเห็นว่ารัฐบาลจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ส่วนที่หวั่นเกรงว่าการใช้เงินนอกงบประมาณอาจจะผลประโยชน์แอบแฝงนั้น ตนขอยืนยันว่าโครงการทุกโครงการมีความโปร่งใส เพราะตามมาตรา 3 ระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้รับทราบก่อนดำเนินการ รวมทั้งยังมีคณะกรรมการกลั่นกรองอีกหลายชั้น นอกจากนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวยังเป็น พ.ร.บ.ชั่วคราว มีอายุถึงแค่ปี 2554 เพราะรัฐบาลคาดการณ์ว่าเวลาดังกล่าวงบประมาณจะมีความสมดุล