“จุรินทร์” ลงนามระเบียบ ศธ.การรับเงิน ทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคแก่สถานศึกษา พ.ศ.2552 ใหม่ ระบุ ห้ามรับเงิน ทรัพย์สินบริจาคเกินความจำเป็น และห้ามผู้บริจาคระบุเงื่อนไขเป็นภาระสถานศึกษา ต้องออกใบเสร็จทุกครั้ง กรณีสร้างอาคาร ให้สถานศึกษา-บริจาคทรัพย์สินสังหาริมทรัพย์เกินแสนบาทขึ้นไป ให้ตั้งคณะกรรมการดูแล พร้อมฝาก รมช.ศธ. ดูแลจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะให้โปร่งใส
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตนได้ลงนามในระเบียบ ศธ. ว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ.2552 ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ประกอบกับมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดให้มีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับบริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา โดยสาระสำคัญระบุว่า การรับเงินหรือทรัพย์สินของสถานศึกษา ให้รับบริจาคไว้ภายใต้เงื่อนไขที่ห้ามมิให้สถานศึกษารับเงินบริจาคที่ผู้บริจาคระบุเงื่อนไขของการบริจาค อันเป็นภาระแก่สถานศึกษาเกินความจำเป็น และเมื่อสถานศึกษาได้รับเงินบริจาค ให้ออกใบเสร็จรับเงินแก่ผู้บริจาค โดยระบุชื่อผู้บริจาคและจำนวนเงินที่บริจาค เพื่อให้ผู้บริจาคซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำไปดำเนินการยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร ในกรณีที่ผู้บริจาคระบุวัตถุประสงค์แห่งการบริจาคไว้ ให้ระบุวัตถุประสงค์แห่งการบริจาคนั้นไว้ในใบเสร็จรับเงินนั้นด้วย
ส่วนกรณีมีผู้จัดหา หรือจัดสร้างอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินแก่สถานศึกษา ให้หัวหน้าสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง จำนวนไม่เกิน 5 คน เพื่อดำเนินการตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือสิทธิครอบครองของผู้บริจาค รวมทั้งภาระติดพันในที่ดิน ประเมินมูลค่าของอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินที่รับบริจาค โดยเทียบเคียงกับราคาประเมินกลางของกรมที่ดินหรือราคากลางของทางราชการ และให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าสถานศึกษาเพื่อพิจารณาและเมื่อหัวหน้าสถานศึกษาพิจารณาเห็นชอบการรับบริจาคแล้ว ให้ดำเนินการบันทึกบัญชี ทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคตามแนวปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับทรัพย์ถาวรในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ที่กรมบัญชีกลางกำหนด
นอกจากนี้ ในกรณีมีผู้บริจาคทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ให้แก่สถานศึกษาเกินหนึ่งแสนบาทขึ้นไป ให้หัวหน้าสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งมาดำเนินการเรื่องนี้
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงการร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อครุภัณฑ์ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กว่า 700 ล้านบาท ว่าได้กำชับรัฐมนตรีช่วยว่า ศธ.ที่กำกับดูแล สอศ.ไปหลายครั้งทั้งด้วยวาจาและลายลักษณอักษรว่า นอกจากกำกับดูแลงานแล้วจะต้องดูแลอย่าให้เกิดปัญหาโดยเฉพาะเรื่องความไม่โปร่งใสด้วย อย่างไรก็ตามหากยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีกตนก็มีวิธีที่จะดำเนินการตามอำนาจของตน
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์ปีงบประมาณ 2552 ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบ ให้แก่วิทยาลัยในสังกัด สอศ.ทุกแห่งแบบเฉลี่ยเท่าๆ กัน อยู่ที่ประมาณ 1.7-1.9 ล้านบาท จากเดิมที่จัดตามประเภทของวิทยาลัย ซึ่งมีบางวิทยาลัยได้รับงบสูงถึง 48 ล้านบาท ขณะที่บางวิทยาลัยได้รับเพียง 8 หมื่นบาท และเมื่อสำนักงบฯ ได้แจ้งเรื่องการจัดสรรงบแบบใหม่มาที่ สอศ.ตนก็ได้มอบอำนาจให้วิทยาลัยดำเนินการกำหนดสเปกและจัดซื้อครุภัณฑ์ตามที่วิทยาลัยต้องการในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งทุกวิทยาลัยก็ได้ดำเนินการจัดซื้อไปเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่า จะได้ครุภัณฑ์ตรงตามความต้องการของวิทยาลัยจริงๆ โดยขณะนี้สำนักตรวจติดตามและประเมินผลการอาชีวศึกษากำลังติดตามผลการจัดซื้อดังกล่าวอยู่
นายเฉลียว กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการพัฒนาการศึกษาตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ SP2 ปี 2553 ในส่วนของ สอศ.ที่ได้รับทั้งในส่วนค่าครุภัณฑ์ 5,300 ล้านบาท และค่าสิ่งก่อสร้าง 1,300 ล้านบาท นั้น ตนก็ได้มอบอำนาจให้วิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเช่นกัน โดยแต่ละวิทยาลัยมีอำนาจไม่เกิน 100 ล้านบาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตนได้ลงนามในระเบียบ ศธ. ว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ.2552 ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ประกอบกับมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดให้มีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับบริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา โดยสาระสำคัญระบุว่า การรับเงินหรือทรัพย์สินของสถานศึกษา ให้รับบริจาคไว้ภายใต้เงื่อนไขที่ห้ามมิให้สถานศึกษารับเงินบริจาคที่ผู้บริจาคระบุเงื่อนไขของการบริจาค อันเป็นภาระแก่สถานศึกษาเกินความจำเป็น และเมื่อสถานศึกษาได้รับเงินบริจาค ให้ออกใบเสร็จรับเงินแก่ผู้บริจาค โดยระบุชื่อผู้บริจาคและจำนวนเงินที่บริจาค เพื่อให้ผู้บริจาคซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำไปดำเนินการยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร ในกรณีที่ผู้บริจาคระบุวัตถุประสงค์แห่งการบริจาคไว้ ให้ระบุวัตถุประสงค์แห่งการบริจาคนั้นไว้ในใบเสร็จรับเงินนั้นด้วย
ส่วนกรณีมีผู้จัดหา หรือจัดสร้างอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินแก่สถานศึกษา ให้หัวหน้าสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง จำนวนไม่เกิน 5 คน เพื่อดำเนินการตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือสิทธิครอบครองของผู้บริจาค รวมทั้งภาระติดพันในที่ดิน ประเมินมูลค่าของอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินที่รับบริจาค โดยเทียบเคียงกับราคาประเมินกลางของกรมที่ดินหรือราคากลางของทางราชการ และให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าสถานศึกษาเพื่อพิจารณาและเมื่อหัวหน้าสถานศึกษาพิจารณาเห็นชอบการรับบริจาคแล้ว ให้ดำเนินการบันทึกบัญชี ทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคตามแนวปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับทรัพย์ถาวรในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ที่กรมบัญชีกลางกำหนด
นอกจากนี้ ในกรณีมีผู้บริจาคทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ให้แก่สถานศึกษาเกินหนึ่งแสนบาทขึ้นไป ให้หัวหน้าสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งมาดำเนินการเรื่องนี้
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงการร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อครุภัณฑ์ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กว่า 700 ล้านบาท ว่าได้กำชับรัฐมนตรีช่วยว่า ศธ.ที่กำกับดูแล สอศ.ไปหลายครั้งทั้งด้วยวาจาและลายลักษณอักษรว่า นอกจากกำกับดูแลงานแล้วจะต้องดูแลอย่าให้เกิดปัญหาโดยเฉพาะเรื่องความไม่โปร่งใสด้วย อย่างไรก็ตามหากยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีกตนก็มีวิธีที่จะดำเนินการตามอำนาจของตน
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์ปีงบประมาณ 2552 ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบ ให้แก่วิทยาลัยในสังกัด สอศ.ทุกแห่งแบบเฉลี่ยเท่าๆ กัน อยู่ที่ประมาณ 1.7-1.9 ล้านบาท จากเดิมที่จัดตามประเภทของวิทยาลัย ซึ่งมีบางวิทยาลัยได้รับงบสูงถึง 48 ล้านบาท ขณะที่บางวิทยาลัยได้รับเพียง 8 หมื่นบาท และเมื่อสำนักงบฯ ได้แจ้งเรื่องการจัดสรรงบแบบใหม่มาที่ สอศ.ตนก็ได้มอบอำนาจให้วิทยาลัยดำเนินการกำหนดสเปกและจัดซื้อครุภัณฑ์ตามที่วิทยาลัยต้องการในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งทุกวิทยาลัยก็ได้ดำเนินการจัดซื้อไปเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่า จะได้ครุภัณฑ์ตรงตามความต้องการของวิทยาลัยจริงๆ โดยขณะนี้สำนักตรวจติดตามและประเมินผลการอาชีวศึกษากำลังติดตามผลการจัดซื้อดังกล่าวอยู่
นายเฉลียว กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการพัฒนาการศึกษาตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ SP2 ปี 2553 ในส่วนของ สอศ.ที่ได้รับทั้งในส่วนค่าครุภัณฑ์ 5,300 ล้านบาท และค่าสิ่งก่อสร้าง 1,300 ล้านบาท นั้น ตนก็ได้มอบอำนาจให้วิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเช่นกัน โดยแต่ละวิทยาลัยมีอำนาจไม่เกิน 100 ล้านบาท