คงไม่เกินเลยไปนัก หากกล่าวว่า วิทยา แก้วภราดัย เป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องเจอศึกหนักนับตั้งแต่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ว่าจะเป็นกรณีไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 165 ราย และล่าสุด กับโครงการไทยเข้มแข็งที่กลุ่มแพทย์ชนบทออกมาเปิดโปงถึงการเตรียมการทุจริต เนื่องจากมีความพยายามที่จะเชื่อมโยงไปถึงคนสนิท-ที่ปรึกษา-คณะทำงาน ทั้ง “หมอแขก” และ “ผู้หญิงชื่อ ต.” ที่เป็นชื่อล่าสุดถูกเปิดออกมา
วันนี้ "รัฐมนตรีวิทยา" จะมาเปิดใจอธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดในทุกแง่มุมกับ “ASTVผู้จัดการรายวัน”
ผมคิดว่า ต้องตั้งคณะกรรมการสอบ โดยมอบหมายให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไปตั้งกรรมการสอบ กรรมการที่ตั้งก็ไม่ใช่มาซูเอี๋ยนะ แต่ต้องตรวจสอบในความไม่ชอบมาพากล และใช้เวลาให้เร็วที่สุด โดยต้องเริ่มต้นโดยการเอาตัวแทนหมอจริงๆ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ประธานชมรมแพทย์ โรงพยาบาลจังหวัด ประธานชมรมสาธารณสุขจังหวัด และผู้ตรวจราชการทั้งหมด ร่วมเป็นกรรมการ
ผมอยากให้ข้อเท็จจริงมันกระจ่าง เพราะมันเหมือนมีข่าวลือว่าทุจริตกัน มันหนีไม่พ้นเป้าที่พุ่งไปในเรื่องการเมือง ผมต้องทำให้เรื่องนี้ให้กระจ่าง ผมได้บอกท่านรักษาการปลัด สธ.ว่า คุณสอบเลยไม่ต้องเกรงใจใคร ผมมาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อทุจริต ต้องเอาจริงมาเปิดเผย ขอบคุณข่าวที่ออกมาเรื่อยๆ เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่รู้มาก่อน
เป็นการพูดเปรยๆ ซึ่งทำให้เสียหาย ดังนั้น ต้องช่วยกันเพราะนี่ไม่ใช่กระทรวงของผม กระทรวงนี้กระทรวงของหมอ ผมเริ่มต้นการบริหารงบประมาณด้วยความเชื่อมั่นของหมอทั่วประทศ กระจายงบประมาณ หมออำเภอ หมอจังหวด หมอสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หมอผู้ตรวจงานทั้งหมดเป็นคนบริหารงบประมาณคนที่ตั้งงบก็หมอ แล้วความไม่ชอบมาพากลมันมีอยู่ตรงไหน
ผมบอกท่านไปแล้วว่า ผมจะตั้งกรรมการสอบทั้งหมดทุกเรื่อง คือจะไม่ให้ผ่านไปเลยไม่ได้ ต้องรู้ว่าที่ไปที่มาเป็นยังไง แต่จะเสร็จเมื่อไหร่เรื่องของเขา ให้หมอเป็นผู้สอบทั้งหมดจะไม่มีนักการเมืองเข้าไปสอบ ผมบอกท่านว่า เรื่อง ยูวี-แฟน จะยกเลิกได้ยังไง ถ้ามันผิดต้องเอาเรื่องมันไว้ก่อน อยู่ๆ ยกเลิกไม่ได้ต้องสอบ ผมไม่ได้ร่วมกับโกงกับเขาก็อยากรู้เหมือนกันใครโกง
ผมไม่อยู่ตอนนั้น ราคากลางคุณหมอทำกันเอง ระหว่างทำราคากลางผมรบกับไข้หวัด 2009 ถ้าสงสัยถาม นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุชาติ เลาบริพัตร ผู้อำนวยการสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค
ผมยืนยันว่า รัฐบาลไม่อยากเอาเงินไปผลาญเล่น เพราะรู้ว่าไปยืมเงินเขามา แต่เมื่อมีงบเข้ามาก็ต้องทำเพราะกระทรวงสาธารณสุขที่ผ่านมา 10 ปี ขาดแคลนทุกอย่าง ประชาชนร้องโอดครวญไปโรงพยาบาลต้องรอ 3-4 ชั่วโมง ไม่มีห้องต้องนอนตามระเบียงหมดแล้ว รัฐบาลปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
เรื่องดิสเครดิตเป็นเรืองธรรมดาของการเมือง แต่ว่าคือผมต้องไม่โกง กรรมการที่ตั้งต้องสอบทุกอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร ปลัดมีหน้าที่รักษากระทรวง รักษาหมอไว้ หมอโกงก็ต้องเอากับหมอ นักการเมืองโกงก็เอากับนักการเมืองไม่ใช่โยนไปโยนมา
ให้ดำเนินตามกระบวนการ จะเป็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็แล้วแต่กระบวนการ
ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่นี่ผมไม่เคยคิดมาหาผลประโยชน์ และไม่เคยสั่งใครไปหาผลประโยชน์ ถ้าถามข้าราชการที่อยู่รอบตัวผม เขารู้ว่าผมเป็นยังไง
เป็นข่าวลือ แต่คิดว่าเป็นสัญญาณที่ดี ถ้าเอาเงินมากองไว้ข้างหน้าแล้วผมเป็นคนประเมินเองทั้งหมดอันนี้ผมผิด แล้วผมก็จะโดนเล่นงาน แต่ตอนนี้ผมกระจายเงินไปอยู่กับคุณหมอทุกคน ถ้าคุณหมอบอกว่าไปประมูลแล้วราคามันสูง ต่ำยังไงคุณหมอดูให้ดีก็แล้วกัน ถ้าคุณหมอบอกว่ามีใครขู่ บอกผม จะแจ้งความดำเนินคดี
การจัดซื้อหมอกำหนดสเปกเอง รัฐบาลโอนให้หมดแล้ว เมื่อกำหนดสเปกเสร็จแล้วก็ส่งสเปกไปที่จังหวัด สาธารณสุขจังหวัดนั่งคุม ส่วนถ้าจะมีใครไปวิ่งเต้น หมอต้องกล้าสู้กับนักการเมืองบ้าง ไม่ใช่อ้ำอึ้ง แล้วโยนใส่คนนั้น เอาเลยลุยกับมันเลย เห็นรุ่นก่อนก็ยังสู้กับนักการเมืองยังชนะ นักการเมืองมาสั่งให้ซื่อนั่นนี่ ถ้าไม่ซื้อให้ซะอย่าง ปากกาที่เซ็นต์อนุมัติอยู่ในมือหมอแล้ว ไม่ได้อยู่ในมือนักการเมือง
ผมไปคุยกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยตรง ท่านรู้ว่าผมเป็นคนยังไง ท่านเชื่อว่าผมเป็นยังไง ผมเล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง ท่านก็บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับกระทรวง แต่ทั้งหมดมันก่อตัวคล้ายๆ ทุจริตยา
ผมเชื่อใจว่า หมอมีความซื่อสัตย์ ผมเชื่อตัวเองว่าผมซื่อสัตย์ ดังนั้น ต้องทำให้โปร่งใส่ ผมลอยตัวไหม เขาปล่อยให้ผมลอยตัวมาตั้งแต่แรก เขาทำกันเองมาตั้งแต่ต้น เขาคิดมาว่าจะทำอะไร ผมเพียงแต่ให้นโยบายไปเท่านั้นว่าต้องการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมส่งภาพประจำตำบล โรงพยาบาลจังหวัดต้องได้รับการปรับปรุง แพทย์ต้องมีเพิ่ม
ผมไม่ได้คิดเอง พรรคมอบหมายมา ผมไม่ได้ตั้งใจมา ในชีวิตผมไม่ได้วิ่งเต้นขอตำแหน่งจากใคร เส้นทางผมสู้มาเอง ผมชนะเลือกตั้งเพราะสู้เอง ผมเป็นรองหัวหน้าพรรคเพราะสมาชิกพรรคเขาเลือก เป็นรัฐมนตรีที่ประชุมบริหารเขาเลือก
คือ อ่านตามข่าวดู คนนั้นว่าอย่างนั้นคนนี้ว่าอย่างนี้ ผมอยากรู้จริงๆ เหมือนที่ชาวบ้านที่อยากรู้ มันมีอ้างเวลาให้สัมภาษณ์ อ้างคนนั้น คนนี้อักษร ต.อย่างนี้ไม่ได้ มีแต่ทำร้ายกระทรวง ใครที่พูดทั้งหมดในกระทรวงออกมาเป็นกรรมการให้หมดเลย ไม่ใช่มานั่งใส่ร้ายกระทรวงตัวเอง ผมเป็นผู้บริหารกระทรวงก็มานั่งคอยประคับประคอง พอถึงเวลาผมก็ไป แล้วคนที่นั่งในกระทรวงมองหน้ากันติดไหม เรื่องคอมพิวเตอร์ที่อื้อฉาว มีเรื่องรถพยาบาลที่ยังสางไม่เสร็จ ถามว่ามันมาได้ยังไงมันมาก่อนที่ผมจะมานั่งรัฐมนตรี ผมมาไม่ควรสร้างเรื่องเพิ่มให้ที่นี่
ผมต้องหันไปข้างหลัง เพราะคนที่คอยควบคุมทั้งหมดคือนักวิชาการ คณะที่ปรึกษา ผมคุยชัดเจนว่าผมผิดไม่ได้ ทุกวันผมถามนักวิชาการทุกที ท่านก็บอกว่าถูกแล้ว แต่ทุกเช้าถูกสื่อต่อยทุกวัน แต่ข้างหลังนั่งเรียบร้อยดี
บางทีตื่นขึ้นมาก็อยากนอนต่อ แต่ทำไม่ได้ ผมต้องออกจากบ้านไปต่อยกับมัน ผ่านไปก็สะบักสะบอมเหมือนกัน