ผอ.ไทยเข้มแข็งชี้สำนักงบฯ ขีดเส้นตาย 30 ก.ย. ต้องทำครุภัณฑ์อีก 46 รายการ
นพ.คำรณ ไชยศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง สธ. กล่าวว่า งบประมาณของโครงการดังกล่าว มี 2 ส่วน โดยงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาแน่นอนแล้ว คืองบประมาณในส่วนของ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 11,515.23 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาด้านสาธารณสุขโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 9,953.51 ล้านบาท 2.โครงการลงทุนในระดับชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ วงเงิน 1,070.72 ล้านบาท และ3.พัฒนาบุคลากร โครงการผลิตแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 491 ล้านบาท ซึ่งโครงการส่วนใหญ่เน้นการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล
นพ.คำรณ กล่าวต่อว่า ขณะที่งบประมาณอีกส่วน จะมาจาก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่ง สธ.จะได้รับการจัดสรรประมาณ 60,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่มีปัญหาเรื่องข้อร้องเรียนเรื่องทุจริตในขณะนี้ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตร้าไวโอเลตระแบบปิด ส่วนรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ต้องจัดซื้อตามโครงการนี้ จำนวน 46 รายการนั้น สธ.จะต้องเร่งจัดทำข้อมูลทั้งหมดรายงานให้สำนักงานประมาณรับทราบในวันที่ 30 กันยายนนี้เป็นวันสุดท้าย ว่าแต่ละจังหวัดจะจัดซื้อครุภัณฑ์รายการใดบ้าง และงบเงินเท่าใดโดยยึดตามราคากลางของสำนักงบประมาณกำหนด หรือยึดราคาตามที่เคยมีการจัดซื้อไว้ก่อนหน้านี้
นพ.บุญชัย ธีระกาญจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวภายหลังการรับนโยบายว่า ในส่วนของจังหวัดหนองบัวลำภูยังไม่มีการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการดำเนินการและรอปรับรายการครุภัณฑ์ที่จะมีการจัดซื้อของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่ง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าการที่รัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจให้พื้นที่เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเอง จะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย โดยทำให้การดำเนินการรวดเร็วขึ้น ที่สำคัญการให้ผู้ที่จะใช้งานครุภัณฑ์เป็นผู้กำหนดสเปกด้วยตนเอง ช่วยให้ได้เครื่องมือที่ตรงตามความต้องการ
“การให้จังหวัดจัดซื้อจัดจ้าง ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของการทุจริต เพราะการดำเนินการต่างๆอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการระดับจังหวัด และต้องกระทำตามระบบทุกขั้นทุกตอน การตรวจสอบจะเข้มแข็งและเดินหน้าไปได้ด้วยดี ไม่มีการสั่งล็อกสเปกจากส่วนกลางหรือใครที่ไหน” นพ.บุญชัยกล่าว
นพ.คำรณ ไชยศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง สธ. กล่าวว่า งบประมาณของโครงการดังกล่าว มี 2 ส่วน โดยงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาแน่นอนแล้ว คืองบประมาณในส่วนของ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 11,515.23 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาด้านสาธารณสุขโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 9,953.51 ล้านบาท 2.โครงการลงทุนในระดับชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ วงเงิน 1,070.72 ล้านบาท และ3.พัฒนาบุคลากร โครงการผลิตแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 491 ล้านบาท ซึ่งโครงการส่วนใหญ่เน้นการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล
นพ.คำรณ กล่าวต่อว่า ขณะที่งบประมาณอีกส่วน จะมาจาก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่ง สธ.จะได้รับการจัดสรรประมาณ 60,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่มีปัญหาเรื่องข้อร้องเรียนเรื่องทุจริตในขณะนี้ เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตร้าไวโอเลตระแบบปิด ส่วนรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ต้องจัดซื้อตามโครงการนี้ จำนวน 46 รายการนั้น สธ.จะต้องเร่งจัดทำข้อมูลทั้งหมดรายงานให้สำนักงานประมาณรับทราบในวันที่ 30 กันยายนนี้เป็นวันสุดท้าย ว่าแต่ละจังหวัดจะจัดซื้อครุภัณฑ์รายการใดบ้าง และงบเงินเท่าใดโดยยึดตามราคากลางของสำนักงบประมาณกำหนด หรือยึดราคาตามที่เคยมีการจัดซื้อไว้ก่อนหน้านี้
นพ.บุญชัย ธีระกาญจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวภายหลังการรับนโยบายว่า ในส่วนของจังหวัดหนองบัวลำภูยังไม่มีการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการดำเนินการและรอปรับรายการครุภัณฑ์ที่จะมีการจัดซื้อของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่ง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าการที่รัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจให้พื้นที่เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเอง จะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย โดยทำให้การดำเนินการรวดเร็วขึ้น ที่สำคัญการให้ผู้ที่จะใช้งานครุภัณฑ์เป็นผู้กำหนดสเปกด้วยตนเอง ช่วยให้ได้เครื่องมือที่ตรงตามความต้องการ
“การให้จังหวัดจัดซื้อจัดจ้าง ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของการทุจริต เพราะการดำเนินการต่างๆอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการระดับจังหวัด และต้องกระทำตามระบบทุกขั้นทุกตอน การตรวจสอบจะเข้มแข็งและเดินหน้าไปได้ด้วยดี ไม่มีการสั่งล็อกสเปกจากส่วนกลางหรือใครที่ไหน” นพ.บุญชัยกล่าว
